เอเยนซี - ศึก “ยูฟา ซูเปอร์ คัพ 2013” ครั้งที่ 38 มีโปรแกรมฟาดแข้งกันวันศุกร์ที่ 30 สิงหาคมนี้ ณ เอเดน อารีนา ใน ปราก สาธารณรัฐเช็ก โดยเป็นการเจอกันของแชมป์ยุโรป 2 ถ้วยจากฤดูกาลที่ผ่านมา คือ บาเยิร์น มิวนิก (ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก) และ เชลซี (ยูโรปา ลีก) ความน่าสนใจอยู่ตรงที่กุนซือทั้งสองฝั่งต่างต้องการประเดิมโทรฟีเอาฤกษ์เอาชัยในการคุมทัพต้นสังกัดใหม่ออกสตาร์ทฤดูกาล แต่ไม่ง่ายเพราะต่างรู้ทางกันเป็นอย่างดี เนื่องจากเคยปะฝีมือกันมาแล้วบนเวที ลา ลีกา สเปน
เกมนี้ 2 ทีมต่างไม่ได้คุมทัพมาโดยกุนซือที่พาคว้าแชมป์เมื่อปีที่แล้ว บาเยิร์น จุ๊ปป์ ไฮย์นเกส ส่งมรดกให้ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ขณะที่ โชเซ มูรินโญ ก็มารับไม้ต่อ ราฟาเอล เบนิเตซ ซึ่งจากการดวลกันที่ สเปน นายใหญ่ เชลซี คนปัจจุบันสู้ไม่ได้ทุกกระบวนท่า เพราะพา รีล มาดริด กระชากแชมป์ ลา ลีกา มาได้แค่สมัยเดียวคือฤดูกาล 2011-12 นอกนั้นเรียกได้ว่า บาร์เซโลนา ครองความยิ่งใหญ่ภายใต้ยุคอดีตกองกลางหมายเลข 4 กุมบังเหียนตั้งแต่ปี 2008 ได้แชมป์ทุกรายการที่โดดเด่นสุดเลยคือลีก 3 สมัยและยุโรป 2 สมัย
อย่างไรก็ตามยกนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปสไตล์ฟุตบอลของ บาเยิร์น เคยปราชัยให้กับ เชลซี มาแล้วจากการดวลจุดโทษ 3-4 นัดชิง แชมเปียนส์ ลีก เมื่อปี 2011-12 หลังเสมอกัน 1-1 ทำให้ กวาร์ดิโอลา น่าจะแบกความกดดันมากกว่า เนื่องจากปีที่แล้ว “เสือใต้” ก็สร้างประวัติศาสตร์เป็นทริปเปิลแชมป์สโมสรแรกของเยอรมนี ซึ่งแม้ปีนี้จะออกสตาร์ทในลีก 4 นัดชนะ 3 เสมอ 1 นัด แต่ดันวืดแชมป์ เดเอฟเบ ซูเปอร์ คัพ แพ้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 2-4
ขณะที่ เชลซี โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ พาได้แชมป์ยุโรปสมัยแรกในประวัติศาสตร์ แม้ว่าจะได้สัญญาถาวรก็ถูกเด้ง เพราะปีถัดมาชิงถ้วย ยูฟา ซูเปอร์ คัพ ใบนี้ปราชัยไม่เป็นท่าให้กับ แอตเลติโก มาดริด 1-4 ก่อนที่จะเป็น เบนิเตซ มารับงานต่อจนได้ถ้วย ยูโรปา ลีก เมื่อปีที่ผ่านมา ส่งต่อมาถึง มูรินโญ ที่กลับมาคุมถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ คำรบ 2 ต่อจากระหว่างปี 2004-07 ที่พากวาดทุกแชมป์บนเกาะอังกฤษ โดยจะต้องเจอกับเกมรุกของ บาเยิร์น ที่เอาชนะ บาร์เซโลนา ท่วมท้น 2 นัด 7-0 ถ้วย แชมเปียนส์ ลีก รอบรองฯ ปีที่แล้ว
เหลือเชื่อเกินว่า บาเยิร์น ไม่เคยได้แชมป์ ซูเปอร์ คัพ ตั้งแต่ปี 1975 และ 1976 ที่ยังแข่งแบบเหย้า-เยือนมาจนถึงปี 2001 ขณะที่ เชลซี ชิง 2 ครั้งได้มาหนึ่งครั้งปี 1998 ดังนั้น กวาร์ดิโอลา ย่อมอยากสร้างประวัติศาสตร์และอยากได้แชมป์เร็วที่สุดเพื่อลดความกดดันให้กับตัวเอง
ก่อนออกสตาร์ทฤดูกาลทุกคนมองว่า บาเยิร์น อาวุธครบมือ แต่ กวาร์ดิโอลา ยังทำให้กลมกล่อมไม่ได้ภายใต้ระบบ 4-1-4-1 แม้ว่าสถิติที่ออกมาจะครองบอลได้ถึง 75 เปอร์เซนต์ก็ตามในแต่ละเกม เพราะเมื่อวันอังคารที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำได้แค่บุกเสมอ ไฟร์บวร์ก 1-1 แถมห้องเครื่องคนสำคัญอย่าง บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ เจ็บต้องเช็กความฟิต ส่วน ติอาโก อัลคานทารา ที่เพิ่งย้ายจาก บาร์ซา นั้นเข้าโรงหมอไปแล้ว ทำให้เกมพบกับ เชลซี 2 มิดฟิลด์อาจจะเป็น มาริโอ เกิทเซ คู่กับ โทนี โครส และมี อาร์เยน ร็อบเบน กับ ฟรองค์ ริเบรี เดินเกมริมเส้น
ขณะที่ เชลซี ผ่านพ้น 3 นัดศึก พรีเมียร์ ลีก มี 7 แต้มยังไม่แพ้ใคร ล่าสุดบุกไปเสมอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-0 ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อวันจันทร์ที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา มูรินโญ ยังคงสไตล์เดิมคือ 4-2-3-1 ซึ่งหลังเกมดังกล่าวถูกสื่ออังกฤษวิจารณ์ยับถึงสไตล์การเล่นอันน่าเบื่อคล้ายปราศจากกองหน้าทั้งที่มีให้เลือกล้นมือทั้ง เฟร์นานโด ตอร์เรส, เดมบา บา และ โรเมลู ลูกากู โดยส่ง อังเดร ชูร์เล หอกทีมชาติเยอรมนีที่ย้ายจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมาลงไป แต่ก็ไม่ได้ค้ำแดนหน้า
ทำให้ตอนนี้ เชลซี ก็ยังไม่ได้ทีมที่ลงตัวเช่นกัน คล้ายกับ บาเยิร์น ที่มีขุมกำลังให้เลือกใช้งานล้นมือตั้งแต่หลังจนถึงหน้าบ้าน โดยคาดว่าแนวรุก 3 คน มูรินโญ จะโรเตชันเปิดโอกาสให้ ฆวน มาตา ลงปั้นเกมร่วมกับ ออสการ์ และ เอเดน ฮาซาร์ด ส่วนหัวหอกตัวเป้าอาจจะเป็น ลูกากู นอกนั้นแบ็กโฟร์ลงตัวแล้ว มี 2 กองกลางห้องเครื่องคอยคุมจังหวะคือ แฟรงค์ แลมพาร์ด กับ รามิเรส