ASTV ผู้จัดการรายวัน – กลายเป็นที่วิจารณ์กันอย่างมากถึงความคลุมเครือของวิธีการให้คะแนนแบบใหม่ หลังจากที่สหพันธ์มวยสากลสมัครเล่นนานาชาติ หรือ ไอบา ประเดิมใช้ในศึกชิงแชมป์เอเชีย รายการ “เอเอสบีซี เอเซียน บ็อกซิง แชมเปียนชิป 2013” ที่กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้ "กำปั้นไทย" ต้องเร่งปรับตัวให้เร็วที่สุดเพื่อเอาตัวรอดจากกีฬาสีเทาชนิดนี้ให้ได้
ชิง กัวะ วู ประธานไอบา ชาวไต้หวัน ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการให้คะแนนและแบ่งประเภทการชกมวยสากลสมัครเล่นขึ้นมาใหม่ เพื่อที่ต้องการให้มีความใกล้เคียงกับมวยสากลอาชีพมากขึ้น อาทิเช่น การให้ถอดเฮดการ์ดขึ้นชก รวมถึงยกเลิกวิธีการให้คะแนนแบบเก่า ที่ผู้ตัดสินกดให้ตามหมัดที่เข้าเป้าแล้วโชว์แต้มระหว่างชกทันที โดยเปลี่ยนเป็นให้ผู้ตัดสิน 5 คนที่นั่งประจำขอบเวทีกดให้คะแนนที่มีแต้มเต็ม 10 ในแต่ละยก แล้วตัดผู้ที่ให้คะแนนมากและน้อยที่สุดออกไป ให้เหลือคะแนนจากผู้ตัดสิน 3 คน ต่อด้วยนำเข้าเครื่องประมวลคะแนน ก่อนที่สุดท้ายจะประกาศแต้มพร้อมชูมือผู้ชนะทีเดียวหลังชกเสร็จครบ 3 ยก
ซึ่งวิธีการให้คะแนนดังกล่าวทำให้นักมวยไม่สามารถคาดเดาได้ว่ากรรมการจะพิจารณาอย่างไร เรื่องนี้ สายลม อาดี นักชกไทยที่คว้าเหรียญเงินในรุ่นไลต์เวต (60 กก.) จากศึกชิงแชมป์เอเชียที่ผ่านมา เผยถึงประสบการณ์ที่ได้รับว่า "การให้คะแนนแบบใหม่นั้นแล้วแต่ดุลยพินิจของกรรมการเลย ซึ่งยังคลุมเครือ แต่เท่าที่ผมสังเกตคิดว่าน่าจะให้จากความแข็งแกร่ง สเต็ปการชก และภาพรวมต่อยกมากกว่า บางครั้งที่นักมวยชกเข้าเป้าหลายหมัด แต่สุดท้ายโดนสวนกลับมาครั้งเดียวแต่ออกอาการ ก็อาจเป็นฝ่ายแพ้ไปเลยก็มี ทำให้จากนี้สิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องฝึกคือความแข็งแกร่ง พวกมวยสไตล์ไฟต์เตอร์เดินหน้าเข้าหาหากใครแข็งแกร่งกว่ายืนระยะได้ดีกว่าก็มีสิทธิ์ชนะสูง เพราะพอจบยกกรรมการจะมองภาพรวมว่าใครทรงมวยดีกว่ากัน ส่วนพวกมวยที่อาศัยชั้นเชิงไหวพริบก็ต้องต่อยให้ทรงดูชนะขาดหรือไม่ให้โดนต่อยจังๆ ไปเลย"
ส่วนข้อดีของการให้คะแนนแบบใหม่นั้น สายลม มองว่าก็มีเหมือนกัน "การให้คะแนนแบบนี้ก็ดีอย่างคือเราไม่ต้องกังวลว่าจะต้องตามกี่หมัด หรือต้องต่อยยังไงให้เซฟคะแนนไว้ จากนี้ในแต่ละยกเราก็จะสามารถต่อยตามสไตล์ตัวเองได้เต็มที่ วัดกันไปเลยยกต่อยก"
ด้าน "ตลาดแขก" น.อ.ทวีวัฒน์ อิสลาม โค้ชเสื้อกล้ามไทยที่ได้ไปทำหน้าที่อยู่ขอบเวที กล่าวถึงการรับมือการให้คะแนนแบบใหม่ว่า "ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าการให้คะแนนแบบนี้ยังไม่โปร่งใส มีหลายคู่ที่พลิกล็อกแบบค้านสายตา แต่ความจริงการชกรูปแบบนี้ถือว่าเข้าระบบเราอยู่แล้ว แต่อาจต้องปรับเปลี่ยนแผนการซ้อมบ้าง คือเน้นเพิ่มความแข็งแกร่งให้นักมวยมากขึ้น ไล่ตั้งแต่การตั้งการ์ดจนถึงการปล่อยหมัด หากการ์ดตกหรือโดนชกจนโครงเครงเมื่อไหร่มีสิทธิ์แพ้ทันที ที่สำคัญต้องแกร่งทั้งวงในและวงนอก หมัดอัปเปอร์คัตต้องมีด้วย"
"แต่เรายังต้องคงสไตล์การชกแบบไทยเอาไว้ คือยังไงก็ต้องมีเชิง เป็นมวยฉลาด เพียงแต่ต้องฝึกออกหมัดให้หนักและแม่นขึ้น จะให้เปิดหน้าบู๊สไตล์ยุโรปคงไม่ได้ เพราะร่างกายเราบางกว่า ซึ่งรายการที่ผ่านมาทำให้เรารู้ถึงคู่ต่อสู้ได้เป็นอย่างดี มวยของเราถือว่าใช้ได้ขอเวลาปรับอีกนิด ส่วนมวยจาก คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน และ อินเดีย ยังน่ากลัวอยู่ แต่ฝั่ง ญี่ปุ่น หรือ จีน ที่ต่อยสไตล์มวยตั๊กแตนวิ่งรอบเวที ยังต้องปรับอีกเยอะ"
สำหรับการสวมเฮดการ์ดนั้น ไอบา อนุโลมให้ใส่ได้ครั้งสุดท้ายในศึกชิงแชมป์โลก ที่กรุงอัลมาตี ประเทศคาซัคสถาน ระหว่างวันที่ 11-27 ตุลาคมนี้ หลังจากนั้นเป็นต้นไปให้ถอดหมด โดยจะครอบคลุมถึง ซีเกมส์ ครั้งที่ 27, เอเชียนเกมส์ 2014 และ โอลิมปิกเกส์ 2016 ด้วยเช่นกัน ซึ่ง "ตลาดแขก" กล่าวว่าต้องระวังมากขึ้น "วิธีให้คะแนนแบบใหม่ที่เน้นความแกร่งเข้าใส่กัน การถอดเฮดการ์ดจะเป็นตัวแปรสำคัญ เพราะนักมวยต้องขึ้นชกวันต่อวัน หากบาดเจ็บขึ้นมาอาการจะออกทันที ดังนั้นเราคงเน้นเรื่องการหลบหลีกให้มากขึ้นด้วย เคล็ดลับของผมคือการฝึกวัดระยะหมัด ใกล้ กลาง และไกล เพื่อการเคลื่อนที่ แต่เรื่องนี้ถือว่าเราค่อนข้างได้เปรียบคู่แข่ง เนื่องจากนักกีฬาส่วนมากจะผ่านการชกมวยไทยมาก่อน เจอทั้ง หมัด เข่า ศอก จึงน่าจะทนได้มากกว่า"
ขณะที่สมาคมมวยสากลแห่งประเทศไทย เล็งป้องกันปัญหาที่อาจตามมา จึงเตรียมผลักดันผู้ตัดสินเข้าไปมีส่วนร่วมกับ ไอบา มากขึ้น โดยขั้นแรกเตรียมเชิญให้เข้ามาเปิดอบรมกฎใหม่แก่กรรมการ ก่อนที่จะทำการสอบเพื่อลุ้นมีชื่อติดเข้าไปร่วมวงในศึกซีเกมส์ ที่เมียนมาร์ ปลายปีนี้
อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่ากีฬาที่ตัดสินด้วยสายตาอย่างมวย ย่อมไม่ถูกใจใครร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งยังอาจมีตัวแปรอื่นนอกสังเวียนที่ส่งผลต่อการแพ้ชนะ ซึ่งการชกที่จอร์แดนก็ได้มีสัญญาณแจ้งเตือนแล้ว หลังนักชกเจ้าภาพ ที่ทรงมวยดีกว่ากลับแพ้ต่อมวยจากคาซัคสถาน แบบค้านสายตา ทำให้แฟนๆ ไม่พอใจ ทำลายข้าวของ เกิดจราจลนานกว่า 1 ชั่วโมง จึงเป็นเรื่องน่าคิดที่ว่ากฎใหม่ โดยเฉพาะการให้คะแนนแบบใหม่ตอบโจทย์การตัดสินมวยได้เคลียร์จริงหรือไม่