ASTV ผู้จัดการรายวัน - ถือเป็นข่าวช็อกวงการเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เมื่อ “อาร์ต” บดินทร์ อิสระ นักแบดมินตันชายคู่ ประกาศแยกทาง “เอ” มณีพงศ์ จงจิตร ทั้งที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย หลังจากช่วยกันเข้าถึงรอบ 8 คู่สุดท้ายศึก โอลิมปิก ลอนดอน เกมส์ 2012 อย่างไรก็ตามทำให้วงการขนไก่ไทยได้รู้จักกับชื่อของ “ต้นน้ำ” นิพิฐพนธ์ พวงพั่วเพชร ที่เข้ามาเสียบตำแหน่งแทน
นิพิฐพนธ์ เพิ่งจับคู่กับ มณีพงศ์ ตกรอบก่อนรองชนะเลิศศึก เอสซีจี ไทยแลนด์ โอเพน 2013 เมื่อวันศุกร์ที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังแพ้ให้กับ วลาดิเมียร์ อิวานอฟ กับ อิวาน โซโซนอฟ คู่มือ 17 โลกชาวรัสเซีย 1-2 เกม 21-11 15-21 และ 21-18 แม้จะประสานงานกันได้ไม่นาน แต่ก็เข้าขารู้ใจจนกระโดดรั้งมือ 38 ของโลกประเภทชายคู่จากการประกาศของ สหพันธ์แบดมินตันนานาชาติ หรือ บีดับเบิลยูเอฟ สดๆ ร้อนๆ เมื่อช่วงต้นเดือน ทำให้สปอร์ตไลต์เริ่มจับจ้องมาที่ “ต้นน้ำ” และเริ่มอยากรู้จักว่าเป็นใครมาจากไหน
“ต้นน้ำ” นิพิฐพนธ์ เริ่มเข้ามาคลุกคลีกับวงการลูกขนไก่ตั้งแต่อายุ 8 ขวบจากการนำทางของคุณพ่อนิพัธ และคุณแม่นวลอนงค์ พวงพั่วเพชร ซึ่งหลงใหลกีฬาชนิดนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยสนับสนุนและผลักดันให้ลูกชายคนเดียวของบ้านให้ไปฝึกปรือที่สโมสรแบดมินตัน เสนานิคม โดยเริ่มจากประเภทชายเดี่ยว ก่อนที่โค้ชจะแนะนำว่าควรเล่นประเภทคู่ เนื่องจากรูปร่างที่อาจเป็นอุปสรรคกับการเคลื่อนที่ จากนั้นก็เหมือนเป็นตัวจุดประกายและก้าวเข้าแคมป์ เอสซีจี อคาเดมี ตั้งแต่อายุ 15 ปี ตามด้วยคว้าแชมป์ เอสซีจี จูเนียร์ ทำให้ผู้ใหญ่ในสมาคมเห็นแววจนได้ติดทีมชาติและร่วมฝึกซ้อมที่สมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย
“ช่วงที่เข้าสู่สมาคมใหม่ๆ ได้มีโอกาสจับคู่กับ ปฏิพัทธ์ ฉลาดแฉลม ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางของทีมชาติจนสามารถคว้ารองแชมป์แบดมินตันชิงแชมป์ประเทศไทยเมื่อปี 2554 ซึ่งแพ้ต่อ บดินทร์ อิสระ กับ มณีพงศ์ จงจิตร ตอนนั้นเรายังไม่เป็นที่รู้จักสำหรับคนทั่วไปเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าจะคว้าเหรียญทองแดงศึก ซีเกมส์ ที่อินโดนีเซีย เมื่อปี 2011 ในประเภทชายคู่ ซึ่งถือเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จจนก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 22 ของโลกได้สำเร็จ” นิพิฐพนธ์ เผย
หลังจากแยกทางของ บดินทร์ ทำให้โอกาสตกมาถึง นิพิฐพนธ์ โดยทางสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ได้โยกให้มาจับคู่กับ มณีพงศ์ เมื่อเดือนมีนาคม 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้หนุ่มวัย 22 ปีกล่าวว่า “ยอมรับเลยว่าช่วงแรกๆ ก็ยังปรับตัวไม่ได้ที่จะต้องสลับคู่หูคนใหม่ แต่ยังโชคดีที่ มณีพงศ์ มีสไตล์การเล่นคล้ายกับ ปฏิพัทธ์ จึงทำให้ไม่ต้องใช้เวลาจูนเข้าหากันมากนัก จนอันดับโลกในปัจจุบันของตนที่พุ่งขึ้นรวดเร็วมากก็รู้สึกตกใจเช่นกันและไม่คาดคิดว่าจะทำได้”
จากนั้น นิพิฐพนธ์ โชคร้ายที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ท้อประกอบกับอายุยังน้อยจึงเร่งฟื้นตัวกลับมาได้รวดเร็ว โดยกล่าวว่า “ช่วงนั้นตนได้รับอาการบาดเจ็บข้อเท้าพลิกและเอ็นฉีกขาด จากการฝึกซ้อม จนต้องพักเวลา 1 เดือน ยอมรับว่าหงุดหงิดมากเหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากหยุดพักและทบทวนความคิด โดยพยายามอยู่กับตัวเองให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่าน ให้เกิดสมาธิและกลับมาฝึกซ้อมกับเพื่อนคู่พาร์ทเนอร์ของเราต่อไปได้”
พร้อมกันนี้ นิพิฐพนธ์ เผยว่าหากไม่เดินบนเส้นทางนักแบดมินตันทีมชาติก็มีความฝันตั้งแต่วัยเด็กแล้วว่าอยากจะเป็นตำรวจ โดยปัจจุบันเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ชั้นปีที่ 3 อีกด้วย “คิดว่าถ้าวันนั้นพ่อกับแม่ไม่ให้เล่นกีฬา ก็อาจจะไปเป็นตำรวจ โดยอยากสวมเครื่องแบบ พร้อมทราบข่าวว่าทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเปิดรับสมัครโควตานักกีฬาที่ต้องการบรรจุตำรวจอีกด้วย ซึ่งก็เลือกเรียนคณะนิติศาสตร์ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้เพื่อนำไปใช้เมื่อเราทำหน้าที่เป็นตำรวจจริงๆ”
เมื่อแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับวงการขนไก่ไปแล้ว เป้าหมายของ “ต้นน้ำ” นิพิฐพนธ์ ในปี 2556 คือตระเวนแข่งรายการระดับซูเปอร์ซีรีส์และกรังด์ปรีซ์โกลด์ โดยตั้งใจจบที่ 15 ของโลกให้ได้ ส่วนรายการในประเทศมุ่งมั่นคว้าแชมป์แบดมินตันชิงแชมป์ประเทศไทย “ออล ไทยแลนด์” หลังทำได้ดีที่สุดคือรองแชมป์เมื่อปี 2554 และสุดท้ายการแข่งขัน ซีเกมส์ ที่เนปิดอว์ ปลายปีนี้ ที่จะเหมือนเป็นบทพิสูจน์กับเหรียญทองที่ต้องนำมาฝากชาวไทย หลังเคยคว้าเหรียญทองแดงครั้งจับคู่กับ ปฏิพัทธ์ ที่อินโดนีเซีย