ASTVผู้จัดการรายวัน - กระแส “จอดำ” เริ่มซาไปจากหน้าสื่อและชีวิตประจำวันของคอลูกหนังไทย หลัง ยูโร 2012 รูดม่านปิดฉาก ทว่า การต่อสู้นอกสนามกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่ “ซันบ็อกซ์” กล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียม ได้ฤกษ์ออกสู่สายตาทุกคนเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยมีคอนเทนต์หลัก คือ ฟุตบอล ลา ลีกา สเปน ที่ถือเป็นหัวหอก ในการสร้างฐานผู้รับชมเพื่อก้าวไปสู่เป้ายหมายอีก 4 ปีข้างหน้า จนสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ครบถ้วนจากการยืนยันของ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน)
ถือว่า อาร์เอส เดิมพันสูงไม่น้อยกับเม็ดเงิน 1 พันกว่าล้านบาท แลกลิขสิทธิ์ ลา ลีกา สเปน 3 ฤดูกาลเพียงอย่างเดียวมาอยู่ในมือ รวมถึงการบริหารจัดการคอนเทนต์ต่างๆ ที่เริ่มทยอยออกสู่สายตาผ่าน 4 รายการที่เหมือนเป็นการอุ่นเครื่องก่อนซีซัน 2012-13 เปิดฉากปลายเดือนสิงหาคมนี้ แต่ สุรชัย มั่นใจกับลีกที่ถือเป็นเบอร์ 1 ของตลาดลูกหนังโลกเวลานี้ “ลา ลีกา ยังเป็นกลยุทธ์หลัก ความแตกต่างก็คือ เป็นลีกไม่ใช่ทัวร์นาเมนต์มาแค่เดือนเดียวจบ มุมของผมไม่ได้มองที่ปริมาณ แต่เชื่อศักยภาพของลีก จึงสังเกตได้ว่า เราใช้คนละกลยุทธ์กับเจ้าอื่น ผมเป็นคอบอล เชื่อว่า ทุกคนไม่ได้อยากดูทุกลีก ไม่ชอบดูไปก็เบื่อ แต่ถ้าอยากดูก็ขวนขวายจนได้ ดังนั้น ต้องเป็นลีกที่แข็งจริงๆ มีมูลค่าทางการตลาดผู้บริโภคให้ความสนใจพูดได้เลยว่ามีแค่ ยูโร ฟุตบอลโลก พรีเมียร์ชิป และ ลา ลีกา แค่นี้ที่เหลือ คือ ไทยพรีเมียร์ลีก นอกเหนือจาก 5 ชื่อที่เอ่ยมานี้ไม่ได้มีพลังเลย”
แต่ต้องยอมรับว่า โจทย์ก็ไม่ง่ายที่จะทำให้ ลา ลีกา สเปน เข้าไปนั่งในใจคนไทยแทนที่ของ พรีเมียร์ลีก ทว่า “เฮียฮ้อ” เชื่อว่า มีทางเป็นไปได้ เพราะได้ลิขสิทธิ์ ทั้ง โคปา เดล เรย์ ฟุตบอลอุ่นเครื่องของ สเปน ชาติแรกที่เป็นแชมป์ ยูโร 2 สมัยซ้อน รวมถึงฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก “เฮียเชื่อว่า ไม่ยาก เมืองนอก ลา ลีกา คือ ลีกอันดับ 1 มีมูลค่าสูงสุดสโมสร สเปน ก็คว้าแชมป์ถ้วยยุโรปมากที่สุดซูเปอร์สตาร์ก็มาก เพียงแต่ที่ผ่านมา ผู้ถือสิทธิ์ในเมืองไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญจะเห็นว่า จริงๆ ทีมอย่าง บาร์เซโลนา รีล มาดริด บาเลนเซีย และ แอตเลติโก มาดริด ดังด้วยตัวเอง ไม่ได้รับการส่งเสริมเลย คนไทยชอบของที่มีคุณภาพและพอมาอยู่ในมือ อาร์เอส ก็จะต้องผลักดันไปให้ไกลที่สุดเมื่อถึงจุดนั้น มองว่า จะแสดงคุณภาพที่แท้จริงออกมาเอง จากผลสำรวจคนนิยมและอยากชม แต่ที่ผ่านมาไม่มีช่องทางและราคาค่อนข้างสูง ซึ่งการถ่ายทอดสดได้มีการปรับให้เหมาะกับคนเอเชียที่ให้ความสำคัญมากขึ้นและก็จะมีการขนดารามาทัวร์ช่วงปิดซีซันที่ไทยในเร็ววันนี้”
เป้าหมายของ อาร์เอส คือ ขาย “ซันบ็อกซ์” ให้ได้ 500,000 กล่อง เพื่อเม็ดเงิน 800 ล้านบาท และมองหาพันธมิตรเพื่อซื้อลิขสิทธิ์ พรีเมียร์ลีก ที่ถือเป็นคำถามที่ทุกคนอยากรู้จากปากของ สุรชัย มากที่สุด ซึ่งได้คำตอบว่า “เราคงทุ่มให้ ลา ลีกา เพราะไปรอ พรีเมียร์ลีก ที่จะประมูลในอีก 2-3 เดือนไม่ได้ ถามว่า สนใจไหมก็ต้องตอบว่าสนใจแต่ลีกอังกฤษนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการยื่นข้อเสนอ ส่วนการจับมือกับเจ้าอื่นเพื่อฮั้วราคาต่ำลงคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากในตลาดมีเพลเยอร์ค่อนข้างเยอะ ซึ่งถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
ประเด็นสุดท้ายที่ต้องพูดถึง ก็คือ “จอดำ” เพราะ อาร์เอส คือ รายแรกที่เผชิญกับปัญหานี้เมื่อ 2 ปีก่อนศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่ แอฟริกาใต้ ทว่า สุรชัย ยืนยันว่า จะไม่มีประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอย่างแน่นอน "ตอนนั้นสัญญาณเราล้นไปยังประเทศข้างเคียง อีเอสพีเอ็น ที่ซื้อไปเผยแพร่ที่ อินเดีย และ อินโดนีเซีย แบบเพย์-เพอร์-วิว จึงไปฟ้อง สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ จนมีคำสั่งให้ระงับสัญญาณทันทีและควบคุมให้ได้ ตอนนั้นถือเป็นเรื่องใหม่มาก แต่จริงๆ แล้วจอจะดำหรือไม่อยู่ที่เจตนารมย์การทำธุรกิจของเจ้าของสิทธิ์มากกว่าถือเป็นหัวใจหลัก ถ้าถามเรามีจุดยืนชัดเจนตั้งแต่ ยูโร 2008 แล้วว่าเมื่อไหร่ที่เอาไปผ่านฟรีทีวี ก็คือ จะต้องดูฟรีทุกแพลตฟอร์มยกเว้นกล่องลูกค้ารุ่นเก่าซึ่งเข้ารหัสไม่ได้ แต่ถ้านำมาไว้ในช่องเก็บเงินเราก็จะบอกตรๆ และจะให้ค่าบริการต่ำที่สุด”
ทั้งนี้ “เฮียฮ้อ” ได้สรุปจุดยืนของ “ซันบ็อกซ์” และแนวทางที่จะดำเนินไปในอนาคตนับจากนี้ว่า “การจะก้าวไปเป็น คิง ออฟ ซอคเกอร์ คงไม่ใช่ แต่เราเป็นเหมือนผู้เล่นหลักที่มีคอนเทนต์หลากหลาย และถูกใจประชาชนไม่ใช่แค่ฟุตบอลอย่างเดียวทั้งช่อง 8 สบายดีทีวี และ ละคร อนาคตจะมีช่องใหม่ๆ มาเพิ่มให้กับแพลตฟอร์มของเรา ตอนนี้ก็มี ลา ลีกา ตามด้วยโปรโมชันดีๆ และต่อยอดถึงฟุตบอลโลกก้าวสุดท้ายคงกำหนดไม่ได้ว่าเมื่อไหร่แต่ก็จะเดินไปเรื่อยๆ มองไว้ 4 ปี เชื่อว่า ซันบ็อกซ์ จะกลายเป็นกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียมที่มีความแข็งแกร่งตอบโจทย์ผู้บริโภคจนเลือกไว้มีติดบ้านตลอดไปไม่ใช่แค่เฉพาะกิจฟุตบอลหมดก็ทิ้ง แต่ก็จะเฟ้นหาอะไรใหม่ๆ มาเติมให้มีทุกรสชาติและน่าสนใจ เดี๋ยวนี้กล่องราคาไม่แพงก็อยู่ที่ผู้บริโภคจะพิจารณาเลือกที่เหมาะสมกับคอนเท็นต์ดีๆ ที่อัดแน่นอนอยู่ข้างใน” ทั้งหมดนี้ คือ ความตั้งใจของ สุรชัย หัวเรือใหญ่ของกองบัญชาการ อาร์เอส แต่สุดท้ายแล้วจะไปถึงจุดนั้นหรือไม่คำตอบอยู่ที่การตัดสินใจของผู้บริโภคเท่านั้น
