ASTVผู้จัดการรายวัน - อิตาลี กลายเป็นทีมกระดูกขัดมันขึ้นทุกขณะเมื่อเข้าสู่รอบลึกๆ ซึ่งการโคจรมาพบ “รองแชมป์เก่า” เยอรมนี นัดตัดเชือกศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (ยูโร) 2012 คืนวันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2555 “อัซซูรี” มีลุ้นเข้าถึงรอบชิงได้เช่นกัน เมื่อสถิติในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ไร้พ่ายต่อ “อินทรีเหล็ก”
อิตาลี - เยอรมนี เตะเวลา 01.45 น.ที่สนามกีฬาแห่งชาติในกรุงวอร์ซอ โปแลนด์
เซซาเร ปรันเดลลี ปรันจูนระบบการเล่นของอิตาลีพักใหญ่ สลับใช้สูตร 3-5-2 และ 4-3-1-2 ในรอบแรก จนมาลงตัวที่ 4-1-3-2 รอบ 8 ทีมสุดท้ายก่อนตอกย้ำ “สิงโตคำราม” อังกฤษ ให้พบกับฝันร้ายในการดวลจุดโทษอยู่ต่อไป มาถึงรอบตัดเชือกที่ต้องพบกับ เยอรมนี ชาติที่ยิงมากที่สุดในยูโรหนนี้ (9 ประตูจาก 4 นัด) กุนซือวัย 54 ปี จำเป็นต้องจัดหมากให้เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว ไล่ตั้งแต่แผงรับ การที่ จอร์โจ คิเอลลินี สลัดอาการเจ็บต้นขากลับมาซ้อมได้แล้ว ทำให้ดาวเตะยูเวนตุสน่าจะยึดตำแหน่งแบ็กซ้ายตัวจริงได้จาก เฟเดริโก บัลซาเร็ตติ ส่วน อิกนาซิโอ อบาเต ปักหลักแบ็กขวาต่อไป คู่เซ็นเตอร์ อันเดรีย บาร์ซาญี และ เลโอนาร์โด โบนุชชี เหนียวแน่น ทำให้ จานลุยจิ บุฟฟอน ไม่เจองานยากนักเหมือนที่ผ่านมา มาถึงแดนกลางที่กำลังลงตัว อันเดรีย ปิร์โล ถอยมาต่ำ แต่ยังมีทีเด็ดลูกวางบอลยาวอันแม่นยำให้เห็น พวกผึ้งงานอย่าง ดานิเอเล เด รอสซี, ริคคาร์โด มอนโตลิโว และ เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ ไล่บอลแข็งขัน ช่วยให้ทีมครองบอลได้ถึง 63 เปอร์เซ็นต์ ในเกมพิชิตอังกฤษ ส่วนคู่หน้า มาริโอ บาโลเตลลี เก็บบอลได้ดี อันโตนิโอ คาสซาโน ป่วนคู่แข่งได้พอสมควร ดังนั้น อันโตนิโอ ดิ นาตาเล หรือว่า อเลสซานโดร เดียมานติ ต้องรับบทโจ๊กเกอร์รอโอกาสอยู่ข้างสนาม
ขณะที่ เยอรมนี พลิกโผปรับเกมรุกบานตะไทแมตช์ไล่อัด กรีซ 4-2 รอบก่อนรองชนะเลิศ ทว่า บุนเดสเทรนเนอร์ โยอาคิม เลิฟ เตรียมกลับมาใช้ 11 ผู้เล่นตัวหลักจากรอบแรก มานูเอล นอยเออร์ คอยสั่งการเกมรับอยู่หน้าประตู คู่เซ็นเตอร์ มัตส์ ฮุมเมลส์ เข้าขา โฮลเกอร์ บาดสตูเบอร์ ฟูลแบ็กขวาซ้าย เจอโรม บัวเต็ง กับ ฟิลิปป์ ลาห์ม ประจำการเหมือนเดิม เขยิบมาที่มิดฟิลด์ตัวรับ ซามี เคดิรา แสดงให้เห็นถึงความครบเครื่องเติมขึ้นมายิงประตูเองก็ได้ ส่วน บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ก่อนหน้านี้ มีอาการเจ็บข้อเท้า น่าจะฟิตกลับมาตามใส่กุญแจล็อก ปิร์โล ด้านตัวรุก เมซุต โอซิล ยังเป็นฟันเฟืองในการบัญชาเกม โธมัส มุลเลอร์ กับ ลูคัส โพดอลสกี มีสิทธิทวงตำแหน่งขึ้นมาจากทั้ง อังเดร ชูร์เลร์ และ มาร์โค รอยส์ แม้เกมก่อนสองดาวรุ่งทำผลงานวูบวาบก็ตาม สำหรับศูนย์หน้าตัวเป้าต้องชั่งใจ “โยกี้ เลิฟ” ว่าจะให้ มาริโอ โกเมซ ดาวซัลโวร่วมขณะนี้ (3 ประตู) คืนตัวจริง หรือไว้ใจ มิโรสลาฟ โคลเซ จอมเก๋าวัย 34 ปี ที่สามารถลงมาเชื่อมเกมได้ อีกทั้งมีทีเด็ดจากลูกสอดขึ้นโหม่งในจังหวะเซตพีซ ที่สำคัญ คุ้นเคยกับการต่อกรกับนักเตะอิตาเลียน เพราะเล่นให้ ลาซิโอ ในศึกกัลโช เซเรีย อา
ความน่าจะเป็นของเกม : นี่จะเป็นแมตช์ที่แทกติกของกุนซือทั้งสองทีมต้องละเอียด เป็นการชิงพื้นที่แดนกลางในการคุมจังหวะเกมอย่างแท้จริง โดย อิตาลี ซึ่ง 4 นัดที่ผ่านมา เพิ่งเสียไปเพียง 2 ประตู เตรียมขึงแนวรับหน้าบ้านตัวเองไม่ให้ เยอรมนี เจาะเข้าทำได้ตามอำเภอใจ โอซิล คงต้องถอยลงมาเชื่อมเกมกับ เคดิรา และ ชไวน์สไตเกอร์ ส่วน มุลเลอร์ กับ โพดอลสกี มีหน้าที่เจาะทางกราบเพื่อกดไม่ให้ อบาเต หรือ คิเอลลินี เติมขึ้นมาช่วยเกมรุก อย่างไรก็ตาม นัดนี้ให้จับตาลูกฟรีคิกของ ปิร์โล และการวางบอลอันแม่นยำให้ บาโลเตลลี กับ คาสซาโน ลุ้นใส่สกอร์ ทั้งนี้จากสถิติที่เจอกันมา 7 ครั้งในรอบสุดท้ายรายการใหญ่ ปรากฏว่า “อัซซูรี” ชนะในเวลา 3-1 ฟุตบอลโลกปี 1982 และคว้าชัยช่วงต่อเวลาอีกสองหนในบอลโลกปี 1970 และ 2006 ส่วน 4 นัดที่เหลือ เยอรมนี ทำได้แค่เสมอ ดังนั้น จากสถิติที่ข่มกันชัดเจน อิตาลี มีโอกาสยื้อชนะใน 120 นาที ด้วยสกอร์ 2-1