คอลัมน์ “สุดฟากสนาม” โดย “นกฟินิกซ์”
“อีกสี่แต้มเท่านั้นอังเดร” แบรด กิลเบิร์ต ส่งสัญญาให้ด้วยการชูสี่นิ้ว เพื่อกระตุ้นให้นักเทนนิสหนุ่มมีสมาธิกับเกม และลุยไปข้างหน้าอย่างเต็มที่ ขณะที่ อังเดร เองเริ่มกระตุ้นตนเองให้เลิกคร่ำครวญกับแต้มที่เสียไปและหันกลับไปโต้กลับในทุกลูกที่ “เมดเวเดฟ” หวดใส่อยู่ข้างหน้า
และดูเหมือนการกระตุ้นตนเองของอังเดร จะได้ผลแม้ว่า เมดเวเดฟ จะได้แต้มไปก่อน หากแต่เกมเสิร์ฟของเจ้าตัวที่เริ่มกลับมากลายเป็นอาวุธสำคัญที่เข้าโจมตีเมดเวเดฟ จนทำให้การแข่งขันเข้าสู่แชมเปี้ยนชิปพอยท์ของอังเดร เวลานั้นเสียงเชียร์ อังเดร อังเดร ดังกึกก้องไปทั่วสนามโรลังด์ การ์ลอส และในวินาทีที่ นักเทนนิสผู้ผ่านมรสุมชีวิตมาแล้ว 29 ปี หวดลูกไปลงที่เส้นหลังเขากลับกลายเป็นคนที่สองที่รู้ว่าตนเองนั้นได้แชมป์เฟรนช์โอเพ่น คนแรกที่ตะโกนขึ้นมาในเสี้ยววินาทีที่ลูกกระดอนอยู่บนเส้นหลัง คือ แบรด กิลเบิร์ต ขณะที่ เมดเวเดฟ นั้นรู้เป็นคนที่สามว่าตนเองได้พ่ายแพ้ให้กับ นักเทนนิสที่มีอาวุโสกว่าเขาถึง 5 ปี
ความยินดีของอังเดร นั้น แสดงออกต่อแชมป์บนคอร์ตดิน ที่กล่าวกันว่า ยากยิ่งสำหรับนักเทนนิสจากสหรัฐอเมริกาที่ถนัดแต่ฮาร์ดคอร์ต และนี่คือ ชัยชนะในแกรนด์สแลมที่เสมือนการกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งของผู้ชายที่ชื่อ อังเดรร อากัสซี่ เขาขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือทั้ง กิล แบรด หรือแม้กระทั่งนิค บอเลทเทียรี่ หรือ บรู๊ค ชีลด์ นักเทนนิสหนุ่ม คิดว่า ถ้าไม่มี “นิค” เขาก็ไม่มีวันได้มายืนอยู่ตรงนี้ และถ้าไม่มีช่วงเวลาขึ้นลงตามความต้องการของบรู๊ค ชีลด์ จนทำให้ชีวิตแต่งงานต้องถึงคราวหย่าร้าง ซึ่งกลายมาเป็นแรงขับดันที่ทำให้เขาสามารถมายืนอยู่ตรงนี้เช่นกัน
หลังจากนาทีแห่งชัยชนะและการรับถ้วยรางวัล อังเดร เดินออกจากสนามด้วยการส่งจูบไปทั่วทั้งสี่ทิศของสนามการแข่งขัน มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้เขาเหมือนได้ผูกพันกับแฟนเทนนิส และ อังเดร บอกกับตนเอง นี่คือ สิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตและเขาได้รับการเติมเต็มเป็นที่เรียบร้อยบนสนามโรลังด์ การ์ลอส ซึ่งเจ้าตัวสัญญาเงียบๆ ไว้ในใจว่านับจากนี้ต่อไป ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ ก่อนออกจากสนามเขาจะส่งจูบไปทั้งสี่ทิศแบบนี้ เพื่อขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบให้กัน
งานฉลองชัยชนะมีขึ้นในร้านอาหารอิตาเลียน ย่านดาวน์ทาวน์ของนครปารีส ใกล้กับจุดที่ครั้งหนึ่ง อังเดร เคยสวมสร้อยข้อมือให้กับ บรู๊ค ชีลด์ เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันคือ ความสุขในชีวิตต่างกันแต่เพียงว่าสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า คือ ชัยชนะที่อังเดรวิ่งตามหามาหลายปี ขณะที่ความสุขในอดีตนั้นกลายเป็นเพียงลายเซ็นบนใบหย่าไปแล้ว และในระหว่างงานเลี้ยงฉลอง จอห์น แมคเอนโร มาร่วมงานพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มาให้ อังเดร โดยบอกเพียงว่า มีใครบางคนอยากคุยด้วย และในทันทีที่แนบหูกับโทรศัพท์ เสียปลายสายบอกทันทีว่าเขา คือ บิยอร์น บอร์ก ประโยคต่อมาคือ “เฮ้ อังเดร แสดงความยินดีด้วยกับแชมป์เฟรนช์โอเพ่น ผมละอิจฉาคุณจริงๆ” อังเดร ถามกลับไปว่า “ทำไมละคุณอิจฉาอะไร” บอร์ก “อิจฉาที่คุณได้แชมป์บนคอร์ตที่น้อยคนนักในจำนวนพวกเราที่จะทำได้นะสิ” นี่เป็นยิ่งกว่าคำชม หากแต่เป็นการยอมรับในฝีมือของนักเทนนิสรุ่นใหญ่ระดับตำนานเลยทีเดียว
เมื่องานเลี้ยงฉลองจบลง แบรด กิลเบิร์ต และ อังเดร อากัสซี เดินกลับโรงแรมพร้อมกัน โค้ชคู่บุญโอบไหล่นักเทนนิสที่เขาเห็นมาตั้งแต่จุดต่ำสุดไปยังจุดสูงสุด แบรด ค่อยๆเอ่ยกับอังเดร อย่างช้าๆ ว่า “ดูเหมือนว่าตอนนี้การเดินทางมาถึงเป้าหมายที่ถูกต้องอย่างที่ทุกคนต้องการ” อังเดร “หมายความว่าอย่างไร” แบรด “คือ ในบางครั้งเส้นทางชีวิตคนเราอาจไม่ได้เดินไปถึงเป้าหมายที่ถูกต้องอย่างที่ทุกคนต้องการ แต่ในครั้งนี้นอกจากจะเดินมาอย่างถูกต้องแล้วผลลัพธ์ของมันก็แสนจะสวยงามด้วย” เมื่อจบประโยคดังกล่าว อังเดร ยกแขนไปโอบไหล่โค้ชคู่บุญ ก่อนจะนึกในใจว่า “การเดินทางของเราเพิ่งเริ่มต้นต่างหาก”
“อีกสี่แต้มเท่านั้นอังเดร” แบรด กิลเบิร์ต ส่งสัญญาให้ด้วยการชูสี่นิ้ว เพื่อกระตุ้นให้นักเทนนิสหนุ่มมีสมาธิกับเกม และลุยไปข้างหน้าอย่างเต็มที่ ขณะที่ อังเดร เองเริ่มกระตุ้นตนเองให้เลิกคร่ำครวญกับแต้มที่เสียไปและหันกลับไปโต้กลับในทุกลูกที่ “เมดเวเดฟ” หวดใส่อยู่ข้างหน้า
และดูเหมือนการกระตุ้นตนเองของอังเดร จะได้ผลแม้ว่า เมดเวเดฟ จะได้แต้มไปก่อน หากแต่เกมเสิร์ฟของเจ้าตัวที่เริ่มกลับมากลายเป็นอาวุธสำคัญที่เข้าโจมตีเมดเวเดฟ จนทำให้การแข่งขันเข้าสู่แชมเปี้ยนชิปพอยท์ของอังเดร เวลานั้นเสียงเชียร์ อังเดร อังเดร ดังกึกก้องไปทั่วสนามโรลังด์ การ์ลอส และในวินาทีที่ นักเทนนิสผู้ผ่านมรสุมชีวิตมาแล้ว 29 ปี หวดลูกไปลงที่เส้นหลังเขากลับกลายเป็นคนที่สองที่รู้ว่าตนเองนั้นได้แชมป์เฟรนช์โอเพ่น คนแรกที่ตะโกนขึ้นมาในเสี้ยววินาทีที่ลูกกระดอนอยู่บนเส้นหลัง คือ แบรด กิลเบิร์ต ขณะที่ เมดเวเดฟ นั้นรู้เป็นคนที่สามว่าตนเองได้พ่ายแพ้ให้กับ นักเทนนิสที่มีอาวุโสกว่าเขาถึง 5 ปี
ความยินดีของอังเดร นั้น แสดงออกต่อแชมป์บนคอร์ตดิน ที่กล่าวกันว่า ยากยิ่งสำหรับนักเทนนิสจากสหรัฐอเมริกาที่ถนัดแต่ฮาร์ดคอร์ต และนี่คือ ชัยชนะในแกรนด์สแลมที่เสมือนการกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งของผู้ชายที่ชื่อ อังเดรร อากัสซี่ เขาขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือทั้ง กิล แบรด หรือแม้กระทั่งนิค บอเลทเทียรี่ หรือ บรู๊ค ชีลด์ นักเทนนิสหนุ่ม คิดว่า ถ้าไม่มี “นิค” เขาก็ไม่มีวันได้มายืนอยู่ตรงนี้ และถ้าไม่มีช่วงเวลาขึ้นลงตามความต้องการของบรู๊ค ชีลด์ จนทำให้ชีวิตแต่งงานต้องถึงคราวหย่าร้าง ซึ่งกลายมาเป็นแรงขับดันที่ทำให้เขาสามารถมายืนอยู่ตรงนี้เช่นกัน
หลังจากนาทีแห่งชัยชนะและการรับถ้วยรางวัล อังเดร เดินออกจากสนามด้วยการส่งจูบไปทั่วทั้งสี่ทิศของสนามการแข่งขัน มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้เขาเหมือนได้ผูกพันกับแฟนเทนนิส และ อังเดร บอกกับตนเอง นี่คือ สิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตและเขาได้รับการเติมเต็มเป็นที่เรียบร้อยบนสนามโรลังด์ การ์ลอส ซึ่งเจ้าตัวสัญญาเงียบๆ ไว้ในใจว่านับจากนี้ต่อไป ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ ก่อนออกจากสนามเขาจะส่งจูบไปทั้งสี่ทิศแบบนี้ เพื่อขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบให้กัน
งานฉลองชัยชนะมีขึ้นในร้านอาหารอิตาเลียน ย่านดาวน์ทาวน์ของนครปารีส ใกล้กับจุดที่ครั้งหนึ่ง อังเดร เคยสวมสร้อยข้อมือให้กับ บรู๊ค ชีลด์ เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันคือ ความสุขในชีวิตต่างกันแต่เพียงว่าสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า คือ ชัยชนะที่อังเดรวิ่งตามหามาหลายปี ขณะที่ความสุขในอดีตนั้นกลายเป็นเพียงลายเซ็นบนใบหย่าไปแล้ว และในระหว่างงานเลี้ยงฉลอง จอห์น แมคเอนโร มาร่วมงานพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มาให้ อังเดร โดยบอกเพียงว่า มีใครบางคนอยากคุยด้วย และในทันทีที่แนบหูกับโทรศัพท์ เสียปลายสายบอกทันทีว่าเขา คือ บิยอร์น บอร์ก ประโยคต่อมาคือ “เฮ้ อังเดร แสดงความยินดีด้วยกับแชมป์เฟรนช์โอเพ่น ผมละอิจฉาคุณจริงๆ” อังเดร ถามกลับไปว่า “ทำไมละคุณอิจฉาอะไร” บอร์ก “อิจฉาที่คุณได้แชมป์บนคอร์ตที่น้อยคนนักในจำนวนพวกเราที่จะทำได้นะสิ” นี่เป็นยิ่งกว่าคำชม หากแต่เป็นการยอมรับในฝีมือของนักเทนนิสรุ่นใหญ่ระดับตำนานเลยทีเดียว
เมื่องานเลี้ยงฉลองจบลง แบรด กิลเบิร์ต และ อังเดร อากัสซี เดินกลับโรงแรมพร้อมกัน โค้ชคู่บุญโอบไหล่นักเทนนิสที่เขาเห็นมาตั้งแต่จุดต่ำสุดไปยังจุดสูงสุด แบรด ค่อยๆเอ่ยกับอังเดร อย่างช้าๆ ว่า “ดูเหมือนว่าตอนนี้การเดินทางมาถึงเป้าหมายที่ถูกต้องอย่างที่ทุกคนต้องการ” อังเดร “หมายความว่าอย่างไร” แบรด “คือ ในบางครั้งเส้นทางชีวิตคนเราอาจไม่ได้เดินไปถึงเป้าหมายที่ถูกต้องอย่างที่ทุกคนต้องการ แต่ในครั้งนี้นอกจากจะเดินมาอย่างถูกต้องแล้วผลลัพธ์ของมันก็แสนจะสวยงามด้วย” เมื่อจบประโยคดังกล่าว อังเดร ยกแขนไปโอบไหล่โค้ชคู่บุญ ก่อนจะนึกในใจว่า “การเดินทางของเราเพิ่งเริ่มต้นต่างหาก”