xs
xsm
sm
md
lg

เอเอฟซี ขีดเส้นตายไทยลีก 14 ต.ค.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บังยี รักษาการนายกลูกหนังไทย
คณะทำงานของสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือ เอเอฟซี ประกาศหลังตรวจสอบความพร้อมของ 18 สโมสรไทยพรีเมียร์ลีก เพื่อพิจารณาโควตาเอเอฟซี แชมเปียนลีก ในฤดูกาล 2012-2014 พบว่ามีเพียง 4 สนามเท่านั้นที่ผ่านการประเมิน ส่วนอีก 13 สนามต้องเร่งปรับปรุงภาพรวมของสเตเดียมโดยด่วน ก่อนเดตไลน์วันที่ 14 ต.ค.นี้ จากนั้นจะประกาศผลในเดือนพฤศจิกายน พร้อมสั่งทุกสโมสรต้องมี มิกซ์โซน เพื่อให้สื่อมวลชนพบปะนักเตะหลังเกม อีกทั้งย้ำให้สมาคมลูกหนังไทยและ บ.ไทยพรีเมียร์ลีก เน้นที่แผนพัฒนาอะคาเดมีอย่างจริงจัง

เมื่อช่วงบ่ายวันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม 2554 โทกูไอกิ ซูซูกิ ผู้อำนวยการแข่งขันฯ พร้อมด้วย สตีฟ คิม ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารมวลชน ของสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) ได้สรุปความพร้อมของสโมสรไทยพรีเมียร์ลีก 18 ทีม เพื่อพิจารณาโควตาเอเอฟซี แชมเปียนลีกในฤดูกาล 2012-2014 ร่วมกับ "บังยี" วรวีร์ มะกูดี รักษาการนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และ ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ประธานบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก ณ ห้องเฟื่องฟ้า โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน

สืบเนื่องจากที่คณะกรรมการจากสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือ เอเอฟซี ได้เดินทางมาตรวจประเมิน 18 สโมสรไทยพรีเมียร์ลีก ระหว่างวันที่ 20-30 มีนาคม 2554 โดยทาง เอเอฟซี ได้เดินทางมาตรวจที่ประเทศไทยเป็นชาติแรกของปีนี้ ซึ่งผลการประเมินครั้งนี้จะเป็นการพิจารณาเรื่องโควตาในการเล่นฟุตบอลสโมสรเอเชียทั้ง เอเอฟซี แชมเปียนลีก ในฤดูกาล 2012-2014

โดย สตีฟ คิม ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารมวลชน ของ เอเอฟซี ได้เผยถึงความต้องการให้สโมสรไทยพรีเมียร์ลีกจำเป็นต้องมีในซีซันนี้ ว่า "ผมต้องการให้ทั้ง 18 สโมสรมี มิกซ์โซน (mixed zone) คือ การเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้มีโอกาสสัมภาษณ์นักเตะหลังเกม นอกเหนือจากห้องแถลงข่าวที่จะมีการเปิดเผยความรู้สึกแค่ผู้ฝึกสอน ดังนั้นหากมีส่วนนี้จะทำให้สื่อมวลชนได้มีโอกาสสัมภาษณ์นักเตะก่อนที่จะเดินขึ้นรถ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ สื่อโทรทัศน์ และ สื่อสิ่งพิมพ์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้สปอนเซอร์ได้ติดป้ายเพื่อเพิ่มมูลค่าอีกด้วย เท่าที่เห็นก็มีเพียงสโมสรชลบุรี เอฟซี ที่ชลบุรี สเตเดียม นอกจากนี้ต้องการให้ทุกสโมสรมีห้องสำหรับให้สื่อทีวีและสื่อวิทยุไว้สำหรับบรรยายเกมการแข่งขัน ซึ่งเท่าที่ตรวจสอบก็มีที่ นิว-ไอโมบาย สเตเดียม ของสโมสรบุรีรัมย์ พีอีเอ และต้องมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลรถโอบีอีกด้วย ที่สำคัญต้องมีเอกสารแจกก่อนเกมการแข่งขันให้แก่สื่อมวลชน"

ขณะเดียวกัน โทกูไอกิ ซูซูกิ ผู้อำนวยการแข่งขัน ของ เอเอฟซี กล่าวถึงภาพรวมหลังจากที่ตรวจสอบทั้ง 18 สโมสรไทยพรีเมียร์ลีก ว่า "ต้องขอชื่นชมที่ลีกฟุตบอลในประเทศไทยได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยไทยมีจุดแข็งที่เป็นที่ยอมรับ คือ การได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนโดยเฉพาะการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ และอินเตอร์เน็ต อย่างแพร่หลาย จึงทำให้บรรยากาศในการรับชมเป็นไปอย่างสนุกสนาน พร้อมกับมีผู้นำทางด้านกีฬาฟุตบอลที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาจึงทำให้ไทยพรีเมียร์ลีกเป็นที่นิยม ดังนั้นภาพรวมของไทยอยู่ในเกณฑ์ที่มีการพัฒนาสูง เชื่อว่าอนาคตสดใสแน่นอน"

ทั้งนี้ ผอ.การแข่งขันของเอเอฟซี กล่าวถึงจุดอ่อนของไทยพรีเมียร์ลีกที่ต้องมีการปรับปรุง ว่า "สนามการแข่งขันในไทยพรีเมียร์ลีกมีเพียงแค่ 4 สนาม 5 สโมสร เท่านั้นที่ผ่านการประเมินจาก เอเอฟซี คือ สนามลีโอ สเตเดียม ของบางกอกกล๊าส เอฟซี, สนามยามาฮ่า สเตเดียม ของเมืองทองฯ ยูไนเต็ด และ ทีโอที เอสซี, สนามธรรมศาสตร์ รังสิต ของอินทรีเพื่อนตำรวจ และ สนามชลบุรี สเตเดียม ของชลบุรี เอฟซี ส่วนอีก 13 สนามยังไม่ได้มาตรฐานจากเอเอฟซี อย่างไรก็ตามทั้ง 13 สนามนี้ต้องปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่เป็นไปได้ให้ได้มากที่สุด อาทิ พื้นสนามที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ เพื่อทันกำหนดวันเดตไลน์ในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ จากนั้นเป็นการรอผลประเมินซึ่งจะประกาศในเดือนพฤศจิกายนนี้"

"เท่าที่ตรวจสอบทั้ง 18 สโมสรไทยพรีเมียร์ลีกยังไม่มีแผนปฏิบัติการพัฒนาสำหรับอะคาเดมี ในอายุ 10-20 ปี อย่างจริงจัง ซึ่งการพัฒนาเยาวชนเป็นตัวที่สำคัญมากในอนาคตของสโมสร เพราะฉะนั้นสมาคมฟุตบอลฯ และ บริษัทไทยพรีเมียร์ลีก ต้องให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่"

นอกจากนี้ ซูซูกิ เผยถึงโควตาเอเอฟซี แชมเปียนลีก ว่า "โดยระบบแล้วต้องประเมินว่าในเอเชียมีกี่ประเทศที่ผ่านการประเมิน จากนั้นต้องดูคะแนนของแต่ละประเทศจึงค่อยจัดสรรโควตาว่ากี่ทีม ทั้งนี้หากผ่านการประเมินเพียง 1 ประเทศ แต่คะแนนต่ำก็จะได้เพียง 1 สโมสร ขณะเดียวในกรณีที่ผ่านเพียง 1 ประเทศ แต่มีคะแนนท่วมท้นก็จะเป็นส่วนดีในการเฉลี่ยคะแนนให้อีกหลายทีมได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามหากครั้งนี้ประเทศไทยไม่ผ่านการประเมินครั้งนี้ต้องหมดสิทธิ์คว้าโควตาเอเอฟซี แชมเปียนลีก ในฤดูกาล 2012-2014 หากสโมสรใดผ่านก็จะมีสิทธิ์ในระยะเวลา 3 ปีนี้ ทว่าหากประเทศไทยไม่ผ่านก็ต้องรอโควตาปี 2015 โดย เอเอฟซี จะมีการเดินทางมาตรวจสอบอีกครั้งในปี 2013-2014"
กำลังโหลดความคิดเห็น