แก้ว พงษ์ประยูร, อำนาจ รื่นเริง, ฉัตรชัย บุตรดี, สายลม อาดี และ อภิเชษฐ์ แสนสิทธิ์ 5 นักมวยสากลสมัครเล่นของไทย อาศัยเชิงชกที่เหนือกว่าคู่ต่อสู้อย่างเห็นได้ชัดคว้า 5 เหรียญทองในศึก "เวียงจันทน์เกมส์" ในการชกรอบชิงชนะเลิศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม
การแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นชายในศึก ซีเกมส์ ครั้งที่ 25 ณ กรุงเวียงจันทน์ สปป.ลาว เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม ที่ยิมเนเซียม มหาวิทยาลัยแห่งชาติ ไทย ลงชิงชัย 5 รุ่นเริ่มตั้งแต่รุ่น 48 กิโลกรัมชาย แก้ว พงษ์ประยูร เจอกับ แฮร์รี ทานามอร์ กระดูกชิ้นโตจากฟิลิปปินส์
ยกแรก ทานามอร์ มาแบบชวนทะเลาะ แต่ทว่า แก้ว ปิดการ์ดแน่นไม่ปล่อยให้หมัดของคู่ต่อสู้ทำคะแนนได้ พร้อมกับหาจังหวะปล่อยหมัดแบบเน้นๆ เก็บแต้มมาได้ เข้าสู่ยกสองเกมเริ่มเปิดแลกกันมากขึ้น แก้ว กลับมาชกในสไตล์เดินเข้าใส่ ส่วน ทานามอร์ เริ่มช้าและอืดอาจจะเพราะลดน้ำหนักเยอะ หมดยกสอง ไทย นำอยู่ 3-1 หมัด
ช่วงยกสุดท้ายทั้งสองคนระมัดระวังตัวกันมากขึ้น ส่วน แก้ว รู้ว่าคะแนนนำอยู่จึงไม่เดินแลกจึงเอาชนะ ทานามอร์ 3-1 หมัด คว้าเหรียญทองไปครอง
ภายหลังการชก แก้ว ออกมาให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว MGR Sport ที่ไปเกาะอยู่ขอบเวที "สะใจมากที่เอาชนะ ทานามอร์ ได้ วันนี้ต้องถือว่าเราวางแผนมาดี เพราะรู้ว่าคู่แข่งจะบุกเข้าใส่เป็นแน่ โค้ชจึงให้ผมเน้นบล็อกหมัดและก็ชิงจังหวะสวนซึ่งก็ได้ผล จากนี้ต่อไปผมฝันไปชกในโอลิมปิก แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ว่าให้โอกาสหรือไม่ด้วย"
ถัดมาในคู่ที่สองรุ่น 51 กิโลกรัมชาย อำนาจ รื่นเริง ของไทย พบกับ ไสยาพอน จันทะสอน นักชกเจ้าถิ่นของลาว ยกแรกทั้งคู่ต่างหยั่งเชิงปล่อยหมัดดักจังหวะจึงยังไม่มีใครได้แต้ม ยกสอง อำนาจ ปล่อยหมัดมากขึ้นและฮุคคว้าก็ทำแต้มได้ในช่วงท้ายนำไป 1-0 หมัด ยกสุดท้าย ไสยาพอน ฉวยจังหวะยิงหมัดตีเสมอ 1-1 แต่สุดท้าย อำนาจ คว้าเหรียญทองไปเนื่องจากคะแนนดิบมากกว่า
หลังชก อำนาจ กล่าวว่า "วันนี้รู้สึกกดดันเล็กน้อย เพราะต้องรัดกุมเป็นพิเศษในการชกกับมวยเจ้าภาพ อีกทั้งคะแนนขึ้นค่อนข้างยาก อย่างไรก็ตาม ผมก็ทำเหรียญทองสมัยที่ 2 ได้สำเร็จ จากเมื่อสองปีก่อนได้ในรุ่น 48 กก. ส่วนเงินอัดฉีดเบื้องต้นจากกกท. 2 แสนบาทจะนำไปโอนที่สร้างบ้านให้ครอบครัวต่อไป"
ต่อมารุ่น 54 กิโลกรัม ฉัตรชัย บุตรดี ของไทย ดวลกำปั้นกับ มาติอุส แมนดิกัน จากอินโดนีเซีย ยกแรก ฉัตรชัย กระดูกมวยเหนือกว่าชัดเจนเข้าแลกชุดใหญ่ได้มาถึง 3 หมัด ก่อนจะดักจังหวะเก็บเพิ่มได้อีกหมดยกนำห่าง 6-0 หมัด สองยกที่เหลือ ฉัตรชัย ชกได้อย่างมั่นใจจึงเอาชนะไปได้ขาดลอย 11-2 หมัด คว้าเหรียญทองอีกหนึ่งรุ่น
ด้าน ฉัตรชัย เผยบ้าง "ดีใจมากที่สามารถเอาเหรียญทองไปฝากคนไทย กองเชียร์ชาวไทยอาจผิดหวังกับฟุตบอลไทยทั้งชายและหญิง แต่วันนี้มวยเราจัดให้ การชกวันนี้ อินโดนีเซีย เป็นมวยช้า เราเร็วกว่าเยอะจึงชกสบาย เพราะเข้าทาง ทั้งนี้ขอขอบคุณนายกสมาคมที่ให้โอกาสผมมาต่อยในซีเกมส์เป็นครั้งแรก"
ขณะที่ในรุ่น 60 กิโลกรัม รอบชิงชนะเลิศ เป็นการดวลกันระหว่าง สายลม อาดี จากประเทศไทย พบ เมียว เพียว คิน นักชกเมียนมาร์ เริ่มยกแรกกำปั้นชาวไทยดักปล่อยหมัดสวยๆ ได้หลายครั้งจนคะแนนทิ้งไป 5-1 เข้าสู่ยกถัดมา สายลม ยังคงประคองตัวได้ดีกว่ามีคะแนนนำอยู่ 7-1 เมื่อจบยก เมื่อถึงการชกในยกสุดท้าย กำปั้นหม่องยิ่งเดินหน้าเข้าใส่หนักขึ้น เพราะรู้ว่าคะแนนเป็นรอง แต่ สายลม ยังเหนือกว่าคู่แข่งหลายขุม กระทั้งจบ 3 ยกกเอาชนะไปได้ 9-1 คว้าเหรียญทองที่ 4 ให้ทีมกำปั้นชายไทย
ภายหลัง สายลม ให้สัมภาษณ์ว่า "นี่เป็นฟอร์มดีที่สุดของตัวเองก็ว่าได้ ครั้งนี้ถือเป็นเหรียญทองสมัยที่ 2 ของผม เป้าหมายต่อไปจากนี้คือชนะให้ได้ทุกๆ ไฟต์ คว้าให้ได้ทุกๆ เหรียญไล่ไปจนถึงโอลิมปิก อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าตัวเองยังมีบางจุดให้แก้ไข บางครั้งยังติดประมาทคู่แข่งมากเกินไป"
ส่วนในรุ่น 69 กิโลกรัม ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้ายที่กำปั้นไทยมีโอกาสคว้าเหรียญทอง อภิเชษฐ์ แสนสิทธิ์ พบกับ จันทะชน ควนดี จากประเทศเจ้าภาพ โดยในยกแรกนักชกไทยที่มีฝีมือเหนือชั้นกว่าอย่างเห็นได้ชัดทำแต้มหนีไปถึง 4-0 เข้าสู่ยกที่ 2 กำปั้นลาวโดนหมัดบวกเข้าไปอย่างจังผู้ตัดสินบนเวทีถึงกับยุติชก พร้อมกับชูมือให้ อภิเชษฐ์ เป็นผู้ชนะ พร้อมคว้าเหรียญทองเหรียญที่ 5 ให้ทีมกำปั้นชาย
ซึ่ง อภิเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย "แม้เหนือกว่า แต่วันนี้ผมเน้นไม่ประมาทไว้ก่อน ซึ่งก็ชกเป็นไปตามฟอร์มและก็เอาชนะได้ไม่ยาก ต้องขอขอบคุณพี่น้องชาวระยองบ้านเกิดที่มาเชียร์กันที่นี่ รวมถึงเชียร์กันอยู่ที่บ้าน เป้าหมายต่อไปคงเป็นเอเชียนเกมส์ ว่ากันเป็นรายการๆ ไป"