14 นัดที่ผ่านพ้นไปของศึกไทยพรีเมียร์ลีก 2009 นับว่าปลุกสร้างกระแสฟุตบอลอาชีพในประเทศให้มีความสนุกเข้มข้นมากกว่าเดิมไม่น้อย จากมาตรฐานของแต่ละสโมสรซึ่งเหล่าขุนพลลูกหนังมีฝีเท้าที่มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ขณะที่เหล่าหัวหน้าโค้ชซึ่งถือได้ว่าเป็นมันสมองของทีมต่างก็พกความสามารถระดับอินเตอร์มิได้แพ้ลีกอาชีพอื่นในภูมิภาคเดียวกัน และถ้าให้ลองสแกนหา “กุนซือตัวพ่อ” ของไทยพรีเมียร์ลีก ณ เวลานี้เห็นจะมีอยู่ด้วยกัน 4 รายที่ว่ากันว่าเป็น หัวหน้าโค้ชที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านฝีมือและบุคลิก ส่วนเหลี่ยมใครจะได้มุม คมใครจะกริบกว่า อันดับที่ปรากฏในตารางคะแนนจะพิสูจน์ความเป็นจริงได้ดีที่สุด
- ฮันส์ เอมเซอร์ และ อนุกูล กันยายน (บางกอกกล๊าส เอฟซี)
แม้ มร.ฮันส์ ผู้ฝึกสอนเยาวชนอายุไม่เกิน 11 ปีของ “กระต่ายแก้ว” จะถูกดันขึ้นมาขัดตาทัพตั้งแต่เปิดซีซันก่อนที่ สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ จะมานั่งแท่นกุนซืออย่างเต็มตัวแทน แต่การผลักดันทีมจนผงาดรั้งจ่าฝูงได้ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงของโค้ชชาวเยอรมัน ผู้มีดีกรี เอ-ไลเซนส์ ที่รับรองโดยสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ติดตัว นอกจากนั้น เครดิตส่วนหนึ่งก็สมควรยกให้มือขวาอย่าง อนุกูล กันยายน ด้วย เพราะในช่วงที่ “โค้ชฮันส์” นำ 4 แข้งเยาวชนบินไปฝึกทักษะลูกหนังกับ ไกเซอร์สเลาเทิร์น “โค้ชอู๊ด” ก็ช่วยสานงานได้อย่างต่อเนื่องด้วยการนำลูกทีมสอยยักษ์ใหญ่อย่าง ชลบุรี เอฟซี และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นอกบ้าน
ซึ่ง อำนาจ แก้วเขียว เซนเตอร์ฮาล์ฟกัปตันทีมบีจี เผยถึงการทำงานของโค้ชทั้งสองว่า “โค้ชฮันส์ทำหน้าที่ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง โดยเฉพาะเรื่องระเบียบวินัย ผู้เล่นทุกคนต้องตรงต่อเวลา หากมาสายจะถูกปรับเงิน เรื่องการฝึกซ้อมและการวางแผนก็จัดการเป็นระบบ ส่วนตอนนี้พี่ง้วนเข้ามาก็อาจปรับเทคนิคและรูปแบบการเล่นให้กระชับ รวดเร็วขึ้น”
อาจหาญ ทรงงามทรัพย์ (โอสถภา เอ็ม-150)
หากวัดกับกุนซืออีก 15 ทีมที่เหลือในด้านชั่วโมงบินและบารมีแล้ว “ขงเบ้งลูกหนังไทย” ถือว่าเหนือกว่าชัดเจน ด้วยประสบการณ์ในทุกระดับ รวมถึงการคุมทีมที่เวียดนาม (ฮอง อันห์ ยาลาย และ บินห์ ดินห์) ทำให้เจนจัดเรื่องการวางกลยุทธ์และมีความยืดหยุ่นในการปรับ แท็กติก ตามสถานการณ์ ซึ่งการขึ้นมาเป็น 1 ใน 3 ผู้นำร่วมถือเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดี แม้ “พลังเอ็ม” จะเน้นใช้นักเตะดาวรุ่งเป็นแกนหลัก ทว่ากลับแข็งแกร่งเกินคาด โดยเฉพาะการปราบทีมใหญ่อย่าง การไฟฟ้าฯ, บีอีซี เทโรศาสน, ทีโอที เอฟซี และ เมืองทอง-หนองจอก ยูไนเต็ด
สำหรับคำยืนยันในเรื่องนี้ “โจ้ 5 หลา” ศรายุทธ ชัยคำดี ศูนย์หน้าดาวดังดีกรีทีมชาติไทยเป็นคนเอ่ยปากซูฮกเองว่า “เราเคยร่วมงานกันมาก่อนสมัยเล่นกับ บินห์ ดินห์ ที่เวียดนาม ซึ่งในทีมโอสถฯ ตอนนี้ก็กำลังไปได้ดี สำหรับผมแล้ว อ.อาจหาญ เปรียบเสมือนพ่อคนหนึ่ง เป็นอาจารย์ที่ลูกศิษย์ให้ความเคารพยำเกรง ส่วนเรื่องการวางหมากแต่ละเกมก็ละเอียดมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้กิตติศัพท์ว่าเป็น ‘ขงเบ้ง’ และผมก็มั่นใจว่าเขาคือหนึ่งในโค้ชที่เก่งที่สุดของเมืองไทย”
สะสม พบประเสริฐ (การท่าเรือไทย เอฟซี)
“สิงห์เจ้าท่า” ส่อแววฟุบตั้งแต่นัดแรกของฤดูกาลนี้ที่พ่ายให้ เมืองทอง-หนองจอก ยูไนเต็ด แบบไม่เป็นท่า 0-3 ทว่าทันทีที่ “เสือเตี้ย” เข้ามารับช่วงต่อจาก ไพบูลย์ เลิศวิมลรัตน์ สโมสรดังย่านคลองเตยกลับดีวันดีคืนจนตอนนี้เกาะอยู่อันดับ 7 ของตาราง แต่ทีเด็ดของอดีตเฮดโค้ชบีอีซี-เทโรศาสนรายนี้คือ บุคลิกที่แต่งตัวเนี้ยบทุกครั้งยามคุมทีมข้างสนาม และลีลาสั่งการซึ่งในแต่ละนัดจะผุดลุกผุดนั่งขึ้นมาออกแอ็กชันไม่ซ้ำท่าตั้งแต่ต้นจนจบ ถึงขั้นเหล่าคอบอลไทยขนานนามว่า “มูรินโญเมืองไทย” เลยทีเดียว จัดเป็นกุนซือที่มีมาดกินขาดเกินใครในศึกไทยลีก
ด้าน พิพัฒน์ ต้นกันยา ดาวยิงฝีเท้าจัดอดีตทีมชาติไทย ออกมาพูดถึงลูกพี่ใหญ่ว่า “โค้ชเตี้ย คุมทีมโดยเน้นเกมรุกเป็นหลัก แต่ก็มีการปรับกลยุทธ์ทุกนัดขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ช่วงพักครึ่งหากรูปเกมตีบตันหรือตกเป็นรองก็จะกระตุ้นให้เรามีลูกฮึดและเปิดเกมบุกมากขึ้น ตัวอย่างเช่นนัดเจอ นครปฐม เอฟซี ที่เขามาเน้นรับแล้วโต้กลับจนยิงขึ้นนำไปก่อน แต่เราก็ยังตามตีเสมอ 1-1 ได้ในช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้าย”
กิจ มีศรีสุข (ทีทีเอ็ม สมุทรสาคร)
“สำเภาผยอง” กลายเป็นทีมที่น่าจับตามองภายหลัง โค้ชกิจ เข้ามารับไม้ต่อจาก อรรถพล บุษปาคม ที่ทำผลงานน่าผิดหวังใน 6 นัดแรก ซึ่งจนถึงเวลานี้กุนซือหน้านิ่งยังสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นตลอด 8 นัดที่เลื่อนขั้นจากผู้ช่วยมาเป็นโค้ชใหญ่อย่างเต็มตัว และนำทีมพุ่งขึ้นมาอยู่อันดับ 6 ที่สำคัญคือบรรดาทีมแกร่งอย่าง การท่าเรือไทย, ชลบุรี และ บางกอกกล๊าส ล้วนตกเป็นเหยื่อของม้ามืดรายนี้ที่ใช้สไตล์ดุดัน วิ่งสู้ฟัด เข้าข่มขวัญจนปราชัยมาแล้ว
โดย อนุชา กระเดื่องเดช รองประธานสโมสรและผู้จัดการทีม ทีทีเอ็ม กล่าวถึง โค้ชกิจ ว่า “ผลงานที่พา นครปฐม เอฟซี รอดตกชั้นฤดูกาลก่อนได้ถือว่าไม่ธรรมดา แต่ติดปัญหาที่ระเบียบของ AFC กำหนดว่าเฮดโค้ชต้องมีเอ-ไลเซนส์ แต่โค้ชกิจมีแค่บี-ไลเซนส์ ทำให้ต้องนำ โค้ชแต๊ก เข้ามา แต่ผลงานก็ไม่ดีนักแล้วสุดท้ายเขาก็ลาออก ส่วนความโดดเด่นของ โค้ชกิจ คือเข้ากับลูกทีมได้เป็นอย่างดี ทำให้นักเตะเข้าใจสิ่งที่เขาอธิบาย ทั้งเรื่องแท็กติก รูปแบบการเล่น และนักเตะก็ยังทุ่มเทเพื่อโค้ชอีกด้วย”