ภายหลังจากที่สหพันธ์ฟุตบอลเอเชีย หรือ "เอเอฟซี" ประกาศกฎเหล็กด้วยการหั่นโควตาสโมสรฟุตบอลจากประเทศไทย ที่เคยได้เข้าร่วมศึกลูกหนัง "เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก" ในฤดูกาล 2009 จาก 2 ทีม คือแชมป์ไทยลีก และรองแชมป์ ลงมาเหลือเพียงพื้นที่ของแชมเปียนทีมเดียวคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เนื่องจากมองว่าการจัดศึกลูกหนัง "ไทยลีก" อย่างที่ผ่านมา ไม่ใช่หนทางสู่การก้าวเป็นทีมฟุตบอลอาชีพ อย่างที่ "เอเอฟซี" ตั้งเกณฑ์เอาไว้
ส่งผลให้ในฤดูกาล 2009 ของศึกไทยพรีเมียร์ลีก ถูกเปลี่ยนมือมาจัดการแข่งขันภายใต้การบริหารงานของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่กำกับผ่าน บริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดให้สโมสรสมาชิกในลีกสูงสุดเน้นการบริหารงานแบบมืออาชีพ ด้วยการไปจดทะเบียนในรูปแบบบริษัท บริหารงานเป็นเอกเทศ ไม่ขึ้นอยู่กับหน่วยงานต้นสังกัดเหมือนเคย รวมทั้งหลายสโมสรยังมีความตื่นตัวในเรื่องการหารายได้เข้าสโมสรด้วยการเปิดร้านขายของที่ระลึกหน้าสนามเหย้ายามเมื่อทีมลงแข่งขัน
ทว่าในช่วงเริ่มต้นนี้ รายได้ที่นำเข้าบริหารสโมสรฟุตบอลทั้งหลายนั้นก็ยังเน้นไปที่เงินจากผู้สนับสนุนอันเป็นบริษัทห้างร้านเอกชนในพื้นที่เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทีมที่มีการบริหารจัดการดีอย่าง ชลบุรี เอฟซี นั้นก็เริ่มมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากส่วนนี้
อย่างไรก็ตามหลายสโมสรยังคงมีปัญหาในเรื่องการหารายได้เข้าบริหารทีม จึงมีการเสนอความเห็นให้มีการเปิดบ่อนพนันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกอย่างถูกกฎหมายขึ้นมาเพื่อดึงเงินมาเพื่อสนับสนุนทีมฟุตบอล ซึ่งในช่วงที่ผ่านมากระแสข่าวดังกล่าวสร้างความฮือฮาในแวดวงลูกหนังไทยได้ไม่น้อย
โดย ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ประธานบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด กล่าวสนับสนุนเรื่องนี้ว่า "เราต้องยอมรับว่าเรื่องการพนันฟุตบอลในบ้านเรานั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว เพียงแต่ว่ามันไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งหากไม่ดัดจริต ยอมรับความจริง และทำให้สิ่งนี้เป็นเรื่องถูกกฎหมาย รายได้ในส่วนนี้จะถูกดึงมาพัฒนาสโมสรให้ก้าวหน้าขึ้นไปได้อีกขั้น"
"ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้เรามีการศึกษาดูงานมาพอสมควร ผมมีโอกาสคุยกับ เซอร์ เดวิด ริชาร์ด ประธานพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งเขาก็เห็นด้วยที่กับเรื่องการนำเงินจากการพนันฟุตบอลมาสนับสนุนทีม เหมือนที่ลีกฟุตบอลในอังกฤษเขาก็ทำกัน ที่ไหนบนโลกเขาก็ทำกันแบบนี้มาทั้งนั้น ทำไมประเทศเราจะทำไม่ได้" ดร.วิชิต กล่าว
ด้าน "กัปตันมังกร" ตะวัน ศรีปาน ดาวเตะสูงวัยของ บีอีซี เทโรศาสน ก็ยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับวงการลูกหนังไทยในภาพรวม "ผมมองว่าทุกวันนี้เราก็เห็นการพนันฟุตบอลกันมามากมายไม่ว่าวงการไหน หากเราทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นเรื่องถูกกฎหมาย และนำเม็ดเงินกลับมาพัฒนาทีมได้ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี ขอเพียงมีการควบคุมอย่างดี"
ขณะที่ พินิจ งามพริ้ง ประธานกลุ่มเชียร์ไทย ที่ปัจจุบันรับงานเป็นที่ปรึกษาของสโมสรฟุตบอลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แชมป์ไทยลีก 2008 ล้วนมีความคิดเห็นไปในทางเดียวกันกับ "เดอะ แบน" ว่า "บอกตามตรงว่าผมเห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะที่อื่นๆ เขาก็มี แต่ไม่ใช่ว่าเราอยากจะมีการพนันถูกกฎหมายก็จะมีได้เลย เพราะผมเชื่อว่าต้องใช้เวลาสำหรับศึกษาพอสมควรทีเดียว"
ทั้งนี้แม้จะเห็นด้วยกับการเปิดร้านพนันแบบถูกกฎหมาย แต่ที่ปรึกษาทีม "มนุษย์ไฟฟ้า" ก็ยังหวั่นใจปัญหาเรื่องการล้มบอลตามมาหลอกหลอนวงการฟุตบอลภายในประเทศดั่งเช่นประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม อยู่ดี "การเปิดพนันถูกกฎหมายต้องมีมาตรการควบคุมที่รัดกุม มีกรอบกำหนดที่ชัดเจน และต้องระวังเรื่องการล้มบอลเหมือนที่กำลังเป็นปัญหาในประเทศอื่นๆ หากเกิดเรื่องเสื่อมเสีย หรือผลกระทบที่ร้ายแรงทางสังคมขึ้นมาก็ต้องมีวิธีแก้ปัญหาที่ถูกจุดด้วย"
อย่างไรก็ตามสำหรับประเด็นดังกล่าว ชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กลับมองตรงข้ามกัน ด้วยการแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน
"ผมสงสัยเหมือนกันว่าใช้อะไรคิดกันเรื่องการพนันฟุตบอลไทยลีก ที่ผ่านมารัฐบาลส่งมอบเงินสนับสนุนสโมสรฟุตบอลผ่านทางการกีฬาแห่งประเทศไทยมาตลอด หากว่าไม่พอ ก็ต้องหารายได้จากทางอื่นเข้ามาบริหารทีม ซึ่งมันก็มีหลายทางถ้าไม่อับจนหนทางจริงๆ เรื่องการพนันฟุตบอลถูกกฎหมายนั้น สำหรับผมมองว่ายังไม่ถึงเวลาในเมืองไทย"
ถึงจุดนี้ แม้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากหลายฝ่าย แต่เชื่อว่าสุดท้ายแล้วบทสรุปของเรื่องการพนันแบบถูกกฎหมายเพื่อนำเงินมาสนับสนุนศึกฟุตบอลไทยลีกฤดูกาลใหม่คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะได้ข้อยุติในเรื่องนี้ แต่ก็เชื่อว่าทุกฝ่ายต่างมีความปราถนาดีต่อวงการฟุตบอลไทยด้วยกันทั้งสิ้น...