“ผมเคยคว้าแชมป์โลกมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ความรู้สึกของผมไม่ต่างกับตอนได้แชมป์ครั้งแรกร่วมกับยามาฮ่า ในปี 2004 เลย” ความรู้สึกของ วาเลนติโน รอสซี หลังประกาศศักดาคว้าแชมป์โลกโมโตจีพี 2008 มาครอง เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ชื่อของวาเลนติโน รอสซี ห่างหายไปจากทำเนียบนักขับแชมป์โลกรุ่นโมโตจีพี มาเป็นเวลาร่วม 2 ปีเต็ม หลังได้แชมป์โลกครั้งสุดท้ายให้กับยามาฮ่าได้ในปี 2005 ซึ่งหลังจากนั้นผลงานของ "เดอะด็อกเตอร์" กลับถดถอยลงอย่างน่าใจหาย จนมีเสียงวิจารณ์ว่า ยุคทองของแชมป์โลก 7 สมัยหมดลงแล้ว แต่ทว่าวันนี้ยอดนักบิดอิตาเลียนพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่า สามารถกลับมายืนที่เดิมได้อีกครั้งด้วยการคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 8 มาครอง
รอสซี เข้าสู่วงการมอเตอร์ไซค์เวิลด์กรังด์ปรีซ์ด้วยวัยเพียง 17 ปี ในการแข่งขันรุ่น 125 ซีซี สังกัดทีมอพรีเลียเมื่อ 12 ปีก่อน และสามารถคว้าแชมป์โลกครั้งแรกให้ตัวเองได้สำเร็จด้วยวัย 18 ปี จากนั้นการไล่ล่าความสำเร็จก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อ คว้าแชมป์รุ่น 250 ได้ในปี 1999 ก่อนจะขยับขึ้นมาเป็นจ้าวความเร็วในรุ่นใหญ่(โมโตจีพี) ร่วมกับฮอนด้าและยามาฮ่า จนกลายเป็นแชมป์โลก 5 สมัยติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 2001 ถึง 2005
ในฤดูกาลต่อมา "เดอะด็อกเตอร์" เสียตำแหน่งแชมป์ประจำปีให้กับ นิคกี เฮย์เดน จากค่ายฮอนด้า หลังพลาดท่าในสนามสุดท้ายของปี โดยมีแต้มตามหลังนักบิดอเมริกัน เพียง 5 แต้มเท่านั้นเมื่อจบฤดูกาล และในฤดูกาล 2007 ที่ผ่านมา รอสซี จบฤดูกาลได้เพียงอันดับที่ 3 มีคะแนนตามหลัง เคซีย์ สโตเนอร์ แชมป์โลกดาวรุ่งจากค่ายดูคาติถึง 116 คะแนน เป็นรองแม้กระทั้ง ดานี เปโดรซา นักบิดรุ่นน้องจากทีมฮอนด้า นับเป็นผลงานที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 10 ปี ตั้งแต่เข้าสู่วงการในปี 1997
จากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ส่งผลให้มีข่าวลือสะพัดว่า รอสซีหมดความท้าทายในศึกจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก และกำลังเตรียมพร้อมที่จะขยับไปขับรถสูตรหนึ่งให้กับทีมเฟอร์รารี แต่เจ้าตัวก็ยืนยันชัดเจนก่อนออกสตาร์ทสนามแรกของปีนี้ที่กาตาร์ว่า ไม่มีแผนที่จะหันไปขับรถเอฟวัน พร้อมทั้งเผยว่ายังมีความสุขและต้องการชัยชนะในโมโตจีพีอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งความมุ่งมั่นของนักบิดวัย 29 ปี ส่งผลให้ รอสซี ที่ตั้งธงไว้ที่ตำแหน่งแชมป์โลกกับยามาฮ่า ประเดิมชัยชนะกรังด์ปรีซ์แรกของตัวเองในรอบ 8 เดือนได้สำเร็จ ในการแข่งขันสนาม 4 ที่ประเทศจีน จากนั้นก็คว้าชัยได้อีก 7 สนาม รวมถึงสนามล่าสุด ที่ประเทศญี่ปุ่น "เดอะด็อกเตอร์" แสดงให้เห็นถึงความเป็นนักบิดอัจฉริยะคนเดิมอีกครั้ง หลังออกตัวจากกริดที่ 4 และควบรถทะยานคว้าแชมป์ไปได้อย่างสบายมือ พร้อมทำคะแนนทิ้ง เคซีย์ สโตเนอร์ สุดกู่ 92 แต้ม ขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 3 เรซสุดท้ายให้ชิงชัย ส่งผลให้ตำแหน่งแชมป์โลกโมโตจีพีที่คุ้นเคย กลับสู่อ้อมอกของยอดนักบิดหน้าทะเล้นอีกครั้ง
โดยหลังจากจบการแข่งขัน 24 รอบสนามที่ ทวินริง โมเตกิ ประเทศญี่ปุ่น รอสซี ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงความรู้สึก หลังจากห่างหายตำแหน่งแชมป์โลกมานานถึง 2 ปีว่า
“นี่คือฤดูกาลต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ ผมรู้สึกมั่นใจกับตัวรถตั้งแต่ออกสตาร์ท และคิดว่าชัยชนะและตำแหน่งแชมป์โลกอยู่ในการควบคุมของเราฤดูกาลหน้าการลุ้นแชมป์จะแตกต่างไปจากนี้แน่นอน คู่แข่งคนอื่นๆคงไม่มีใครอยากให้ผมได้แชมป์ก่อนถึงสนามสุดท้ายเช่นปีนี้แน่”
ขณะเดียวกัน นักบิดจากทีมเฟียต-ยามาฮ่า ยังยกเครดิตทั้งหมดให้กับทีมงาน ที่ทำงานหนักมาตลอดว่า “นี่ไม่ได้เป็นความสำเร็จของผมคนเดียว ผมต้องยกเครดิตทั้งหมดให้กับทีมงาน เราร่วมกันทำงานหนักมาตลอดทุกสัปดาห์ และท้ายที่สุดรถที่เฟอร์เฟกที่สุดของเราก็นำผมกลับมาเป็นแชมป์โลกได้อีกครั้ง”
ด้าน เจอร์รี เบอร์เกสส์ วิศวกรคู่ใจของเดอะด็อกเตอร์ ได้ออกมายกย่องรอสซีที่คว้าชัยชนะกรังด์ปรีซ์สนามที่ 96 ในชีวิตได้สำเร็จเป็นการใหญ่ พร้อมทั้งชี้ว่าแม้จะเป็นเรื่องยากแต่นักบิดรายนี้ก็มีดีที่จะทำสถิติชนะมากที่สุดตลอดกาล 123 ครั้ง ของเจียโคโม อกอสตินี นักบิดรุ่นปู่ที่ทำไว้ทำไว้ช่วงปี 1964-1977 ลงได้แน่นอน หากไม่เปลี่ยนอาชีพไปขับรถในรายการอื่นๆเสียก่อน
“ปีนี้ยังเหลืออีก 3 สนามให้เขาได้ท้าทาย และกับในช่วง 2 ปี นับจากนี้ก็ยังมีการแข่งขันอีก 36 เรซ ตอนนี้วาเลนติโนอายุเพียง 29 ปี ในอดีต มิค ดูฮาน (อดีตแชมป์โลก 5 สมัย) ก็เคยคว้าแชมป์ได้ตอนอายุ 32 รวมถึง อกอสตินี ก็ขับจนถึงอายุ 35 ปี ฉะนั้นอนาคตของของยังอีกยาวไกลหากยังไม่หันหลังให้กับวงการ” เบอร์เกสส์มั่นใจ
ช่วงเวลาถึง 2 ปี ที่ห่างห่ายจากความสำเร็จในระดับสูงสุด นับเป็นช่วงเวลาอันยาวนานสำหรับแฟนๆทั่วโลกที่อยากจะเห็นยอดนักบิดเดินหน้าทะเล้นเดินหน้าคว้าแชมป์โลกให้ได้อีกครั้ง จึงไม่น่าแปลกใจที่ เดอะด็อกเตอร์ จะตอบแทนความรู้สึกไปยังแฟนๆของตนด้วยประโยคบนเสื้อยืดสีขาวที่ว่า "Scusate IL Ritardo" หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า "ขอโทษที่ให้รอตำแหน่งแชมป์โลกสมัยที่ 8 มานานถึง 2 ปี"