ซันเดย์เทเลกราฟ หนังสือพิมพ์ของอังกฤษออกมาเปิดเผยว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี สโมสรชื่อดังแห่งศึกพรีเมียร์ ลีก กำลังประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนักต้องยื่นความจำนงขอกู้เงินจากธนาคารอังกฤษเป็นจำนวน 40 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 2.6 พันล้านบาท

สื่อฉบับดังกล่าวรายงานข่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของสโมสรหนีคดีคอร์รัปชัน โดยที่ทรัพย์สินต่างๆ ราว 800 ล้านปอนด์ ถูกทางการในประเทศไทยอายัดเอาไว้ ทางสโมสรฟุตบอล “แมนเชสเตอร์ ซิตี” ก็ได้พยายามหาทางผ่อนคลายปัญหาเงินสดหมุนเวียนของตัวเอง ด้วยการไปขอกู้เงินไว้กับธนาคารสแตนดาร์ดแบงก์

แมนฯ ซิตี ได้เงินกู้ก้อนนี้มาด้วยการนำเอารายรับต่างๆ ที่จะได้จากทางพรีเมียร์ลีกมาค้ำ เช่น เงินส่วนแบ่งรายได้พื้นฐานที่จะต้องให้แก่ทุกๆ สโมสร, สิทธิในการถ่ายทอดโทรทัศน์ไปยังต่างแดน, รวมทั้งเงินรางวัลซึ่งจะได้มากน้อยขึ้นอยู่กับอันดับที่ทำได้ในการแข่งขันในฤดูกาล 2008-09 โดยเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ทีมเรือใบได้รับเงินรายได้เป็นจำนวน 40 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2.6 พันล้านบาท) จากค่าส่วนแบ่งถ่ายทอดโทรทัศน์และเงินรางวัลจากอันดับที่ทำได้
ซันเดย์เทเลกราฟ รายงานอีกว่า ข่าวเกี่ยวกับเงินกู้ก้อนนี้มีการทำข้อตกลงกันไปตั้งแต่ตอนสิ้นเดือนกรกฎาคม น่าจะทำให้เกิดคำถามตามมาอีกเกี่ยวกับงบประมาณในการซื้อตัวนักเตะเข้ามาเสริมทีมที่ผู้จัดการคนใหม่อย่าง มาร์ก ฮิวจ์ส จะได้รับ นอกจากนั้นยังน่าที่จะทำให้แฟนบอลยิ่งเกิดความวิตกเกี่ยวกับฐานะทางการเงินของทีม
อนึ่ง หนังสือพิมพ์ดิ อินดีเพนเดนต์ ฉบับวันเดียวกัน ก็รายงานข่าวแสดงความสงสัยเกี่ยวกับฐานะทางการเงินของสโมสรแห่งนี้เช่นกัน
อินดีเพนเดนต์ กล่าวว่า แม้ผู้คนจะเรียก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเป็น “มหาเศรษฐีพันล้านชาวไทย” แต่เมื่อหักเอาทรัพย์สินของเขาที่ถูกทางการไทยอายัดไว้ เขาก็จะมีทรัพย์สมบัติไม่เหลือพันล้านแน่ๆ อาทิ นิตยสารฟอร์บส์ ที่ครั้งหนึ่งเคยรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณมั่งคั่งร่ำรวยระดับ 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาท) แต่ในการประมาณการปีล่าสุดก็ได้ลดลงมาเหลือราว 213 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท)
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ชี้ว่า ด้วยความมั่งคั่งที่เหลืออยู่เท่านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะร่ำรวยเพียงครึ่งเดียวของครอบครัววอร์เบอร์ตัน ที่อยู่เบื้องหลังสโมสรโบลตัน วันเดอร์เดอร์ส และมากกว่าเพียงนิดเดียวจากทรัพย์สินของ เดฟ วีแลน เจ้าของวีแกน แอธเลติก ดังนั้น จึงไม่น่าจะใช่ผู้ที่ควรได้ครองสโมสรใหญ่อย่าง แมนฯ ซิตี
อินดีเพนเดนต์ กล่าวต่อไปว่า กระทั่งทรัพย์สินที่ว่าเหลืออยู่นี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีความจำเป็นต้องไปใช้ในทางอื่นๆ ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่า อดีตนายกรัฐมนตรีไทยได้ใช้จ่ายไปอย่างหนักมือในการกอบกู้ภาพลักษณ์ของตนเองนับตั้งแต่ที่เขากลับคืนไปยังเอเชียครั้งหลังสุดนี้ ด้วยความหวังว่าจะทำให้เขาสามารถชนะคดีความของเขา
อย่างไรก็ตาม สื่อฉบับนี้ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้อยู่อย่างยากจนเลยในอังกฤษโดยมีทั้งแมนชั่นที่เวย์บริจด์ ในเขตเซอร์เรย์ อีกทั้งเชื่อกันว่ามีอพาร์ตเมนต์หรูอยู่ในย่านเคนซิงตัน
ทว่าวิธีการจ่ายเงินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้ในการซื้อตัวนักเตะหลายคนของ แมนฯ ซิตี ก็ทำให้เขาต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินอันร้ายแรงขึ้นมาอีกปัญหาหนึ่ง สืบเนื่องจากในสัญญาซื้อตัวที่ทำกันในฤดูร้อนปีที่แล้ว มีการจ่ายเงินดาวน์เพียงนิดเดียวเท่านั้น ดังนั้น ประธานสโมสรชาวไทย จึงต้องมีภาระหนี้สินในเรื่องดังกล่าวอยู่อีกราว 50 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3.3 พันล้านบาท) และค่างวดที่จะต้องชำระก็กำลังจะเวียนมาถึงในช่วงเร็วๆ นี้แล้ว
อินดีเพนเดนต์ ยังช่วยมองโลกในแง่ดีว่า ถึงอย่างไร แมนเชสเตอร์ ซิตี ก็มีสนามแข่งขันที่ยอดเยี่ยม อันเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งสำหรับแผนธุรกิจของสโมสรฟุตบอลส่วนใหญ่ และแม้จะมีหนี้สินอยู่ราว 60 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3.96 พันล้านบาท) แต่เมื่อเทียบเทียบกับคู่แข่งร่วมเมืองก็ยังถือว่าเล็กน้อยมาก เพราะครอบครัวเกลเซอร์นั้นทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีหนี้สินในระดับ 764 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท) เลยทีเดียว
สื่อฉบับดังกล่าวรายงานข่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของสโมสรหนีคดีคอร์รัปชัน โดยที่ทรัพย์สินต่างๆ ราว 800 ล้านปอนด์ ถูกทางการในประเทศไทยอายัดเอาไว้ ทางสโมสรฟุตบอล “แมนเชสเตอร์ ซิตี” ก็ได้พยายามหาทางผ่อนคลายปัญหาเงินสดหมุนเวียนของตัวเอง ด้วยการไปขอกู้เงินไว้กับธนาคารสแตนดาร์ดแบงก์
แมนฯ ซิตี ได้เงินกู้ก้อนนี้มาด้วยการนำเอารายรับต่างๆ ที่จะได้จากทางพรีเมียร์ลีกมาค้ำ เช่น เงินส่วนแบ่งรายได้พื้นฐานที่จะต้องให้แก่ทุกๆ สโมสร, สิทธิในการถ่ายทอดโทรทัศน์ไปยังต่างแดน, รวมทั้งเงินรางวัลซึ่งจะได้มากน้อยขึ้นอยู่กับอันดับที่ทำได้ในการแข่งขันในฤดูกาล 2008-09 โดยเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ทีมเรือใบได้รับเงินรายได้เป็นจำนวน 40 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2.6 พันล้านบาท) จากค่าส่วนแบ่งถ่ายทอดโทรทัศน์และเงินรางวัลจากอันดับที่ทำได้
ซันเดย์เทเลกราฟ รายงานอีกว่า ข่าวเกี่ยวกับเงินกู้ก้อนนี้มีการทำข้อตกลงกันไปตั้งแต่ตอนสิ้นเดือนกรกฎาคม น่าจะทำให้เกิดคำถามตามมาอีกเกี่ยวกับงบประมาณในการซื้อตัวนักเตะเข้ามาเสริมทีมที่ผู้จัดการคนใหม่อย่าง มาร์ก ฮิวจ์ส จะได้รับ นอกจากนั้นยังน่าที่จะทำให้แฟนบอลยิ่งเกิดความวิตกเกี่ยวกับฐานะทางการเงินของทีม
อนึ่ง หนังสือพิมพ์ดิ อินดีเพนเดนต์ ฉบับวันเดียวกัน ก็รายงานข่าวแสดงความสงสัยเกี่ยวกับฐานะทางการเงินของสโมสรแห่งนี้เช่นกัน
อินดีเพนเดนต์ กล่าวว่า แม้ผู้คนจะเรียก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเป็น “มหาเศรษฐีพันล้านชาวไทย” แต่เมื่อหักเอาทรัพย์สินของเขาที่ถูกทางการไทยอายัดไว้ เขาก็จะมีทรัพย์สมบัติไม่เหลือพันล้านแน่ๆ อาทิ นิตยสารฟอร์บส์ ที่ครั้งหนึ่งเคยรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณมั่งคั่งร่ำรวยระดับ 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาท) แต่ในการประมาณการปีล่าสุดก็ได้ลดลงมาเหลือราว 213 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท)
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ชี้ว่า ด้วยความมั่งคั่งที่เหลืออยู่เท่านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะร่ำรวยเพียงครึ่งเดียวของครอบครัววอร์เบอร์ตัน ที่อยู่เบื้องหลังสโมสรโบลตัน วันเดอร์เดอร์ส และมากกว่าเพียงนิดเดียวจากทรัพย์สินของ เดฟ วีแลน เจ้าของวีแกน แอธเลติก ดังนั้น จึงไม่น่าจะใช่ผู้ที่ควรได้ครองสโมสรใหญ่อย่าง แมนฯ ซิตี
อินดีเพนเดนต์ กล่าวต่อไปว่า กระทั่งทรัพย์สินที่ว่าเหลืออยู่นี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีความจำเป็นต้องไปใช้ในทางอื่นๆ ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่า อดีตนายกรัฐมนตรีไทยได้ใช้จ่ายไปอย่างหนักมือในการกอบกู้ภาพลักษณ์ของตนเองนับตั้งแต่ที่เขากลับคืนไปยังเอเชียครั้งหลังสุดนี้ ด้วยความหวังว่าจะทำให้เขาสามารถชนะคดีความของเขา
อย่างไรก็ตาม สื่อฉบับนี้ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้อยู่อย่างยากจนเลยในอังกฤษโดยมีทั้งแมนชั่นที่เวย์บริจด์ ในเขตเซอร์เรย์ อีกทั้งเชื่อกันว่ามีอพาร์ตเมนต์หรูอยู่ในย่านเคนซิงตัน
ทว่าวิธีการจ่ายเงินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้ในการซื้อตัวนักเตะหลายคนของ แมนฯ ซิตี ก็ทำให้เขาต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินอันร้ายแรงขึ้นมาอีกปัญหาหนึ่ง สืบเนื่องจากในสัญญาซื้อตัวที่ทำกันในฤดูร้อนปีที่แล้ว มีการจ่ายเงินดาวน์เพียงนิดเดียวเท่านั้น ดังนั้น ประธานสโมสรชาวไทย จึงต้องมีภาระหนี้สินในเรื่องดังกล่าวอยู่อีกราว 50 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3.3 พันล้านบาท) และค่างวดที่จะต้องชำระก็กำลังจะเวียนมาถึงในช่วงเร็วๆ นี้แล้ว
อินดีเพนเดนต์ ยังช่วยมองโลกในแง่ดีว่า ถึงอย่างไร แมนเชสเตอร์ ซิตี ก็มีสนามแข่งขันที่ยอดเยี่ยม อันเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งสำหรับแผนธุรกิจของสโมสรฟุตบอลส่วนใหญ่ และแม้จะมีหนี้สินอยู่ราว 60 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3.96 พันล้านบาท) แต่เมื่อเทียบเทียบกับคู่แข่งร่วมเมืองก็ยังถือว่าเล็กน้อยมาก เพราะครอบครัวเกลเซอร์นั้นทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีหนี้สินในระดับ 764 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท) เลยทีเดียว



