“ปรเมศวร์” ชี้เวลาตายเสือดำ คือหลักฐานมัด “เปรมชัย” ร่วมฆ่า ชัดเป็นเจ้าของปืน-เครื่องกระสุน โทษหนัก จำคุกอย่างน้อย 4-5 ปี มั่นใจไม่รอลงอาญา เหตุเป็นคดีล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง ส่วนกรณีติดสินบน แม้คลิปไม่มีเสียงเปรมชัยก็ไม่พ้นผิด ด้าน “ทนายสิ่งแวดล้อม” ระบุ คดีนำอาวุธเข้าป่าและงาช้างแอฟริกา เจ้าสัว-ภรรยา ไม่น่ารอด ! มั่นใจ “พล.ต.อ.ศรีวราห์” ไม่เอาหน้าที่ราชการมาเสี่ยง
คดีของนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมพวกรวม 4 คน ที่พากันเข้าไปล่าสัตว์ป่าในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก จ.กาญจนบุรี นับเป็นคดีใหญ่ที่สังคมจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องด้วยคดีนี้มิใช่แค่เรื่องของนายเปรมชัยกับเสือดำที่ถูกยิงตาย หากแต่เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ระหว่างคุณธรรมความถูกต้อง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยและภาคประชาชนเป็นผู้ขับเคลื่อนเรียกร้อง กับอำนาจทุนที่มักใช้บารมีและความร่ำรวยเป็นเครื่องมือลบล้างความผิด อีกทั้งยังเป็นมาตรวัดจริยธรรมขององค์กรรัฐทุกภาคส่วนว่าจะมีความเที่ยงตรงในการทำหน้าที่มากน้อยเพียงใด หรือจะแกล้งพ่ายแพ้แก่อำนาจทุนซึ่งสามารถหลุดรอดคดีหรือหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศได้ท่ามกลางความเคลือบแคลงใจของประชาชน เหมือนกับหลายคดีที่ผ่านมา
ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ ได้สรุปสำนวนแล้วเสร็จและส่งสำนวนให้อัยการเพื่อสั่งฟ้องนายเปรมชัยและพวก ตามความผิดแห่ง พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า รวม 9 ข้อหา ได้แก่ 1.ความผิดฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 2.ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง 3.ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง 4.ฐานร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 5.ฐานร่วมกันช่วยซ่อนเร้นหรือรับไว้ซึ่งซากสัตว์ป่า 6.ฐานร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับการล่าสัตว์เข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 7.ฐานร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต 8.ฐานร่วมกันเก็บของป่าในเขตป่าสงวน และ 9.ฐานความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน นอกจากนั้นในวันที่ 14 มี.ค.นี้ เจ้าหน้าที่จะออกหมายเรียกให้นายเปรมชัย เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมอีก 3 ข้อหา คือ ติดสินบนเจ้าพนักงาน ครอบครองอาวุธปืนผิดกฎหมาย และครอบครองงาช้างผิดกฎหมาย
ซึ่งแม้คดีนี้ยังอยู่ในขั้นของการดำเนินคดีทางกฎหมาย และใช้เวลาต่อสู้กันอีกนาน ขณะที่หลายฝ่ายเกรงว่ามีความพยายามบิดเบือนและทำหลายหลักฐานเพื่อช่วยให้นายเปรมชัยพ้นผิด แต่ในมุมมองของบรรดานักกฎหมายซึ่งได้ศึกษาและพิจารณารูปคดี รวมถึงพยานหลักฐานต่าง ๆ นั้นเชื่อว่ามีความหนักแน่นชัดเจนชนิดที่นายเปรมชัยดิ้นไม่หลุด !
นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีสำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด ซึ่งติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด ได้วิเคราะห์ผลแห่งคดีไว้อย่างน่าสนใจว่า จากการพิจารณาข้อมูลและพยานหลักฐานต่าง ๆ แล้วเชื่อว่า คดีนี้นายเปรมชัยไม่รอดแน่ โดยหลักฐานที่จะมัดตัวนายเปรมชัยคือช่วงเวลาที่เสือดำเสียชีวิต ซึ่งจากการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์พบว่าเสือตายเมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2561 เวลาประมาณ 17.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่นายเปรมชัยอยู่ในเขตป่าบริเวณเดียวกับจุดที่นายเปรมชัยและพวกถูกจับกุมได้ พร้อมกับซากเสือดำซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่ตายวันที่ 4 ก.พ. 2561 ตามที่นายเปรมชัยกล่าวอ้างว่าเสือน่าจะถูกยิงช่วงเวลากลางวันของวันที่ 4 ก.พ.ซึ่งเป็นช่วงที่เขาออกไปชมสัตว์ป่าบริเวณหน่วยพิทักษ์ป่าเซซาโว่และกลับเข้ามาถึงจุดเกิดเหตุตอนกลางคืนก่อนเจ้าหน้าที่เข้าจับกุม หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ตรงนี้ชี้ชัดว่านายเปรมชัยและพวกร่วมกันฆ่าสัตว์ป่าคุ้มครอง จากการจับกุมและตรวจค้นก็พบซากและเครื่องในเสือ อุปกรณ์ประกอบอาหาร และอาวุธปืนของนายเปรมชัยอยู่ในจุดเดียวกัน รอยกระสุนที่ฝังอยู่ในตัวเสือดำก็ตรงกับปืนกระบอกที่มีดีเอ็นเอของนายเปรมชัยอยู่ตรงโก่งไกปืน ดังนั้นถือว่าร่วมกันกระทำผิดอย่างชัดเจน ความผิดสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะพบดีเอ็นเอของนายเปรมชัยบนมีดบนเขียงหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น นอกจากนั้นการนำเครื่องมือสำหรับการล่าสัตว์เข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายังมีความผิดตามกฎหมาย และอาจรวมถึงความผิดในหลายข้อหาอีกด้วย
“คือคุณเปรมชัยอ้างว่าช่วงที่เสือถูกยิงตายเขาไม่ได้อยู่ด้วย เขาไปที่เซซาโว่ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่พบเห็นเขา แต่จากการพิสูจน์ซากเสือซึ่งสามารถระบุช่วงเวลาที่เสือตายได้ พบว่าเสือตายวันที่ 3 ก.พ. ก็เป็นช่วงที่นายเปรมชัยและคณะอยู่ที่จุดเกิดเหตุ ก็เหมือนกับกรณีจับแก๊งมอเตอร์ไซค์แว้น ตำรวจไม่จำเป็นต้องเห็นตอนขี่มอเตอร์ไซค์ ตอนล้อมจับคุณอยู่ในกลุ่มด้วย ไม่ว่าเป็นขี่หรือเป็นคนซ้อน เป็นคนดูก็ผิดหมด แล้วถ้าคุณเปรมชัยไม่ตั้งใจจะเข้าไปล่าสัตว์จะเอาปืนเข้าไปทำไม จากรูปการณ์เนี่ยที่คุณเปรมชัยไม่ออกจากป่าทันทีที่ฆ่าเสือได้ก็เพราะหนังเสือยังไม่แห้งพอที่จะขนย้ายได้ ต้องรอ 3-4 วัน เขาเลยออกไปเที่ยวแถวเซซาโว่และหน่วยพิทักษ์ป่ามหาราชก่อนแล้วจึงกลับเข้ามากระทั่งถูกจับ” รองอธิบดีฯอัยการสูงสุด ระบุ
สำหรับโทษที่คาดว่านายเปรมชัยจะได้รับหากศาลตัดสินว่ามีความผิดจากกรณีเข้าไปล่าเสือดำในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่านั้น นายปรเมศวร์ ชี้ว่า จากทั้ง 9 ข้อหาที่สรุปสำนวนไปแล้วนั้นอาจมีบางข้อหาที่ความผิดกรรมเดียวกัน แต่โดยรวมแล้วเชื่อว่านายเปรมชัยจะถูกตัดสินจำคุกไม่น้อยกว่า 4-5 ปี
“ที่สำคัญคดีลักษณะนี้ศาลไม่รอลงอาญา จะเห็นได้จากคดีที่นายตำรวจกับพวกเข้าไปตั้งเต็นท์ล่าสัตว์ป่าในป่าแก่งกระจ านยึดได้กบทูดและกระจงซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองเช่นเดียวกับเสือดำ คดีนี้สู้กันจนถึงฎีกา สุดท้ายศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ ตัดสินจำคุกโดยไม่รอลงอาญา” นายปรเมศวร์กล่าว
ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับมุมมองของ นายขวัญชัย โชติพันธุ์ ทนายความซึ่งมีความเชี่ยวชาญในคดีสิ่งแวดล้อม ที่ระบุว่า ข้อหาของนายเปรมชัยนั้นเกี่ยวข้องกับการล่าสัตว์เป็นหลัก โดยกฎหมายหลักนำมาพิจารณาคือ พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ขณะเดียวกันก็มีพระราชบัญญัติฉบับอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยการสู้คดีนั้นจะต้องแก้ทุกประเด็น ซึ่งจากรูปคดีแล้วเป็นเรื่องยากที่จะแก้ให้หลุดทุกประเด็น
“เนื่องจากพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุมีเป็นจำนวนมาก คงยากที่จะแก้ให้หลุดทุกประเด็น ส่วนโทษที่จะได้รับนั้นศาลจะพิจารณาตามความหนักเบาของแต่ละข้อหา จำเลยแต่ละคนอาจลงโทษแตกต่างกัน เช่น ปืนไม่มีทะเบียนนายพรานอาจจะรับไป ก็สั่งลงโทษนายเปรมชัยไม่ได้ แต่ปืนบางกระบอกมีทะเบียนเป็นชื่อนายเปรมชัย ก็ต้องไปรับผิดในข้อหานำปืนเข้าไปในอุทยานโดยไม่มีเหตุอันควร” นายขวัญชัยกล่าว
ส่วนคดีใหม่อีก 3 คดีที่เจ้าหน้าที่จะเรียกนายเปรมชัยมารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมนั้น นายปรเมศวร์ มองว่า กรณีติดสินบนเจ้าพนักงานถือว่าเป็นคดีที่มีหลักฐานชัดเจน และสามารถเอาผิดนายเปรมชัยได้ แม้ในคลิปเสียงการสนทนาต่อรองซึ่งเจ้าหน้าที่อุทยานบันทึกไว้ได้จะเป็นเสียงของคนขับรถ ไม่ใช่เสียงของนายเปรมชัยก็ตาม
“ถึงแม้จะเป็นเสียงของคนขับรถ แต่ถามว่าลำพังคนขับรถจะมีปัญญาไปต่อรองหรือให้ผลประโยชน์อะไร ถ้านายเปรมชัยไม่สั่ง” นายปรเมศวร์ระบุ
ขณะที่นายขวัญชัยพูดถึงคดีครอบครองงาช้างผิดกฎหมายว่า คดีนี้เป็นเรื่องการครอบครองงาช้างแอฟริกาซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย ตามอนุสัญญาไซเตส โดยกฎหมายไทยอนุญาตให้ครอบครองได้เฉพาะงาช้างไทยและต้องขึ้นทะเบียนกับกรมอุทยานฯ เท่านั้น ส่วนที่นายเปรมชัยแจ้งว่างาช้างดังกล่าวเป็นของภรรยา ก็ต้องดูอีกว่าภรรยานายเปรมชัยได้งาช้างมาจากไหน และในตอนขออนุญาตระบุว่าเป็นงาช้างเอเชีย หรือช้างแอฟริกา หากแจ้งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงก็อาจโดนข้อหาแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานอีกคดีหนึ่ง
ส่วนกระแสความเคลือบแคลงใจของสังคมต่อการทำคดีของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนายเปรมชัยกับพวกนั้น นายปรเมศวร์ มองว่า กระแสความรู้สึกดังกล่าวสืบเนื่องมาจากท่าทีขึงขังโฉ่งฉ่างในการอธิบายข้อกฎหมายของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ซึ่งออกมาท้วงติงเพราะเกรงว่าลูกน้องจะทำงานผิดพลาดเท่านั้น แต่หากพิจารณาจากการทำคดีแล้วไม่มีความโน้มเอียงที่จะช่วยเหลือนายเปรมชัยอย่างที่หลายฝ่ายวิตก
“ท่านศรีวราห์เป็นถึงรอง ผบ.ตร. ซึ่งมีโอกาสที่จะก้าวหน้าในหน้าที่ราชการอีกมาก ท่านคงไม่เอาตำแหน่งมาแลก”
ด้าน นายขวัญชัย ระบุว่า การที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ลงไปดูแลการทำคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่นั้นในฐานะผู้บังคับบัญชาเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่พบว่าท่านเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานแต่อย่างใด