xs
xsm
sm
md
lg

รวมโฉมหน้าแก๊งหมิ่นสถาบัน “บิ๊กตู่” งัดทุกมาตรการเล่นงานใน-นอกประเทศ!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“บิ๊กตู่” จัดการแน่พวกแก๊งหมิ่นสถาบัน ตั้งทีมติดตามพวก “เพื่อไทย-นปช.” ที่หลบหนีไปต่างประเทศ พร้อมทั้งผุดกฎหมายดิจิตอล ควบคุมการใช้เว็บไซต์ สื่อสังคมออนไลน์ ทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว และคลิปเสียง ไม่ให้มีการเผยแพร่ในเชิงหมิ่นสถาบันฯ และเร่งขยายผลจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษให้เร็วที่สุด

นโยบายการปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นนโยบายแรกใน 11 นโยบาย ที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2557 โดยมีสาระสำคัญคือการปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะใช้มาตรการทางกฎหมาย มาตรการทางสังคมจิตวิทยา และมาตรการทางระบบสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินการกับผู้คะนองปาก ย่ามใจหรือประสงค์ร้าย มุ่งสั่นคลอนสถาบันหลักของชาติ โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกและความผูกพันภักดีของคนอีกเป็นจำนวนมาก

ขณะเดียวกันรัฐบาลจะเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นจริงเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์และพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชน ทั้งจะสนับสนุนโครงการทั้งหลายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตลอดจนเร่งขยายผลตามโครงการและแบบอย่างที่ทรงวางรากฐานไว้ให้แพร่หลายเป็นที่ประจักษ์และเกิดประโยชน์ในวงกว้าง อันจะช่วยสร้างความสมบูรณ์พูนสุขแก่ประชาชนในที่สุด

ดังนั้นแม้ว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะให้ความสำคัญกับมาตรการดังกล่าว พร้อมเดินหน้าจัดการขั้นเด็ดขาดกับ“พวกหมิ่นเจ้า” ก็ตาม แต่กลับพบว่าขบวนการนี้ก็ไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวและยิ่งใช้วิธีการทุกรูปแบบในการโจมตีสถาบัน ขณะที่รัฐบาลเองก็ไม่หยุดนิ่งเช่นกัน ได้สั่งการให้กองทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามจับกุมบุคคลที่ละเมิดมาตรา112 หมิ่นสถาบันเบื้องสูง ทั้งที่อยู่ในประเทศและที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศมาดำเนินคดีให้ได้

เร่งปราบมือโพสต์หมิ่นสถาบัน

ต้องยอมรับว่าตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้าควบคุมและบริหารประเทศ ไปจนถึงมีการจัดตั้ง รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ได้ปฏิบัติการจับกุมผู้กระทำความผิดคดีหมิ่นสถาบันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพบผู้กระทำผิดทั้งที่เป็น นปช. ทั่วไปที่ไม่ใช่ระดับแกนนำ และระดับตัวการใหญ่ซึ่งบุคคลเหล่านี้เมื่อถูกจับกุมแล้วจะยอมรับผิด และให้การรับสารภาพว่าได้รับการยุยงจากกลุ่มเพื่อนในเฟซบุ๊ก และเคยเข้าร่วมการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช มาอย่างต่อเนื่อง
นางอารีย์ กลับเสถียร
เช่นกรณีเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง จังหวัดขอนแก่น ได้คุมตัวนางอารีย์ กลับเสถียร เจ้าหน้าที่หอผู้ป่วยนอก แผนกหู คอ จมูก โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ไปสอบสวน เนื่องจากเป็นกลุ่มเสื้อแดงที่มีพฤติกรรมหมิ่นเบื้องสูง โดยได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ในลักษณะหมิ่นสถาบันฯ และถูกคุมตัวไปสอบสวนที่เรือนรับรอง มทบ.23 ค่ายศรีพัชรินทร์ อย่างไรก็ตาม การโพสต์เฟซบุ๊ก “Aree RedShirt" ในลักษณะหมิ่นสถาบันเบื้องสูง จนถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และกลายเป็นคดีความนั้น นางอารีย์ได้ยื่นใบลาออก และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ลงนามอนุมัติให้ลาออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงจับกุมนายพงษ์ศักดิ์ ศรีบุญเพ็ง
ตามด้วยเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 มกราคม ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก สตช. พร้อม พล.ต.ต.ศิริพงษ์ ติมุลา ผบก.การกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) แถลงจับกุมนายพงษ์ศักดิ์ ศรีบุญเพ็ง ชื่อเล่น เล้งหรือแซม แนวร่วมกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่กระทำความผิดในคดีเกี่ยวกับความมั่นคง โดยร่วมกันกระทำความผิดเป็นเครือข่ายที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการยุยง ปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายและความเกลียดชังขึ้นในสังคม ผ่านเฟซบุ๊กชื่อ sam parr เผยแพร่รูปภาพและข้อความที่มีลักษณะหมิ่นสถาบัน โดยจากการสืบสวนทราบว่าผู้ต้องหามีการดำเนินการเป็นขบวนการ โดยมีทั้งผู้ให้ข้อมูล สนับสนุนทางการเงิน และให้ความช่วยเหลือในการหลบหนีไปต่างประเทศ ซึ่งตำรวจมีข้อมูลของทั้งขบวนการและอยู่ระหว่างติดตามจับกุมตัว ทั้งนี้ นายพงษ์ศักดิ์ได้หลบหนีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ให้มารายงานตัวด้วย วันที่ 14 มกราคม ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) แถลงจากการสืบสวนขยายผลกรณีมีการจับกุม นายพงษ์ศักดิ์ ศรีบุญเพ็ง มีพยานหลักฐานชัดเจนว่า การกระทำดังกล่าวมีการทำเป็นขบวนการ จนมีการจับกุมนายภาสอินทร์ ประพงษ์ หรือทนายหมู และภรรยาคือ นางชลธิชา ช่วยนุกิจ และนางรัตนา ริทซิงเอ้อร์ ในข้อหาให้ที่พักพิงกับนายพงษ์ศักดิ์ ปัจจุบันได้ส่งทั้ง 3 คน ฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดนครราชสีมาแล้ว
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงจับกุมนายชโย อัญชลีวัชระ
นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจยังจับกุม นายชโย อัญชลีวัชระ อายุ 59 ปี เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.เมือง จ.สระแก้ว ใช้เฟซบุ๊กชื่อ UnchaUnyo เผยแพร่รูปภาพและข้อความที่มีลักษณะหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และเป็นผู้รวบรวมข้อมูล แสดงความคิดเห็นส่งต่อให้ นายพงษ์ศักดิ์ ดัดแปลงแก้ไข เพิ่มเติม เพื่อเผยแพร่ทางสื่อโซเชียลมีเดีย เข้าข่ายเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งนายชโยรับสารภาพว่าได้ลงมือกระทำการดังกล่าวมานานกว่า 1 ปีแล้ว
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงจับกุมเครือข่ายบรรพต
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก สตช. พร้อมด้วยกองบังคับการการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และกรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงจับกุมเครือข่ายหมิ่นสถาบันฯ รายใหญ่ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในชื่อ “เครือข่ายบรรพต” ที่เผยแพร่ข้อมูลหมิ่นสถาบันฯ ประกอบด้วย

1.นายดำรงค์ ชาญสิทธิโชค เป็นแอดมินผู้ดูแลระบบของเพจ BANPODJ THAILAND /CLIPS ซึ่งเป็นเพจสำคัญอันดับต้นๆ ที่มีข้อมูลตามความผิดหมิ่นสถาบัน

2.นางสาวศิวาพร ปัญญา มีพฤติการณ์ในการเผยแพร่และติดต่อกับผู้ที่เคยถูกจับมาก่อน

3.นายเงินคูณ อุดมคุณากร มีหน้าที่เผยแพร่และหลอกขายผลิตภัณฑ์เพื่อหาเงินทุน

4.นายไพศิษฐ์ จิรประดับวงศ์ มีพฤติการณ์ในการเผยแพร่ข้อมูล

5.นางอัญชัญ ปรีเลิศ เป็นข้าราชการกรมสรรพากร ตำแหน่งสรรพากรเขตบางพลัด เป็นผู้ดูแลด้านการเงิน,

6.นายธารา วงนิชพงษ์พันธุ์ หัวหน้ากลุ่มคนสำคัญ เจ้าของเว็บไซต์ okthai.com
เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร จับกุมนายกฤษณ์ บุดดีจีน ผู้ช่วยประธาน นปช.เพชรบูรณ์
เห็นได้ว่าขบวนการหมิ่นเจ้านับวันยิ่งเบ่งบาน และมีการปรับยุทธวิธีในการทำงานจากที่ขยายผลด้วยการใช้สื่อสังคมโลกออนไลน์ในการโจมตี ด้วยการโพสต์ข้อความ ภาพ เสียง และคลิป ยกระดับขึ้นมาถึงขั้นปลอมแปลงเอกสารแถลงการณ์สำนักพระราชวัง โดยในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ได้เข้าจับกุมนายกฤษณ์ บุดดีจีน ผู้ช่วยประธาน นปช.เพชรบูรณ์ กรณีเผยแพร่เอกสารแถลงการณ์ปลอมสำนักพระราชวัง ฉบับที่ 13 และมีการเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ ซึ่งการกระทำความผิดดังกล่าวจึงถูกดำเนินคดี 2 ข้อหา คือ คดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ตำรวจได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายมั่นคง รวบตัวนายหัสดิน อุไรไพรวัน หรือ “ดีเจบรรพต” (ภาพจากอินเทอร์เน็ต)
ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา มีกระแสข่าวในโลกออนไลน์ว่า พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกตำรวจ ยืนยันว่า ตำรวจได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายมั่นคงได้จับกุมนายหัสดิน อุไรไพรวัน หรือ “ดีเจบรรพต” ผู้ต้องหาตามหมายจับคดี 112 ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ผลิตคลิปเสียงหมิ่นสถาบันเบื้องสูงได้แล้วที่โรงแรม เอวัน ย่านพระราม9 เวลาประมาณ 20.00 น. โดยก่อนหน้าที่ตำรวจได้รวบตัวนายหัสดิน ได้เครือจับกุมข่ายบรรพต (นายหัสดิน) จากนั้นได้เข้าตรวจค้นบ้านพักภายในซอยสุขุมวิท 101 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบโน๊ตบุค ซีดี เอกสารทางการเงิน อุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในการบันทึกเสียง เพื่อสร้างคลิปหมิ่นสถาบันเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต โดยหลังจากตำรวจตรวจพบหลักดังกล่าวแล้วจึงเป็นที่มาของการจับกุมตัวนายหัสดินได้ตามวันเวลาดังกล่าว 

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีในยุคนี้ช่วยขบวนการหมิ่นเจ้าให้กระทำการล่วงละเมิดต่อสถาบันและกระทำความผิดตามมาตรา 112 ได้ง่ายขึ้น จนเกิดมีเว็บไซต์ล้มเจ้าผุดขึ้นมาอย่างมากมาย รวมถึงการปฏิบัติภารกิจของกลุ่มหมิ่นเจ้าฯ นอกประเทศ อย่างแก๊งเสรีไทย และ นปช.เสื้อแดง ซึ่งในระหว่างที่หนีกบดานอยู่ในต่างประเทศนั้น ยังมีการเคลื่อนไหวหมิ่นสถาบัน โดยโพสต์เฟซบุ๊ก และปล่อยคลิปวิดีโอหมิ่นสถาบัน ผ่านโลกออนไลน์ออกมาเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่องอีกด้วย โดยเฉพาะบรรดาเครือข่ายบรรพต ซึ่งมีการใช้เครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก และคลิปเสียง เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่แนวคิดไปสู่ประชาชน ในปัจจุบันแม้ขณะหลบหนี แต่ยังทำความผิดมีการผลิตสื่อที่มีลักษณะหมิ่นสถาบันฯ เผยแพร่ออกมาอย่างต่อเนื่อง

“บิ๊กตู่” ตามล่าคน “เพื่อไทย” หมิ่นเจ้า

ดังนั้นจะเห็นได้ว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้จัดการแค่ขบวนการหมิ่นเจ้าที่กระทำการอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังให้เร่งติดตามแก๊งหมิ่นสถาบันที่หลบหนีไปต่างประเทศมาดำเนินคดีให้ได้ และหากมีช่องโหว่ด้านกฎหมายในบางประเทศ ซึ่งไม่มีกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ก็ให้กระทรวงการต่างประเทศ อัยการต่างประเทศและตำรวจประสานไปยังประเทศนั้นๆ เพื่อชี้แจงความผิดของผู้ต้องหาว่า คนกลุ่มนี้ไม่ใช่ผู้ต้องหาที่กระทำความผิดทางการเมือง แต่เป็นความผิดในคดีอาญา

สำหรับผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง สังกัดพรรคเพื่อไทย ที่หนีไปต่างประเทศและยังเดินหน้าที่จะกระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง โดยจัดตั้งองค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ที่มีเจตนาไม่ดีต่อสถาบันและการปกครองของประเทศไทย ประกอบด้วย

นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีต รมว.มหาดไทย

นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

นายสุนัย จุลพงศธร อดีต สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำเสื้อแดง

ส่วนอีกกลุ่มหมิ่นเจ้าที่หลบหนีคดี คือ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช. เสื้อแดง) ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูงที่หนีการจับกุมไปพำนักพักพิงอยู่ในต่างประเทศเช่นกัน โดยตัวการหลักๆ เป็นที่รู้จักกันดี ตัวอย่างเช่น

น.ส.ฉัตรวดี อมรพัฒน์ หรือ โรส เสื้อแดง ผู้ต้องหาตามหมายศาลคดีหมิ่นเบื้องสูง อาศัยอยู่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

นายศรัณย์ ฉุยฉาย หรือ อั้ม เนโกะ ได้พาสปอร์ตประเทศฝรั่งเศส

นายเอกภพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาชีวะ ยื่นขอสิทธิ์เป็นพลเมืองของประเทศนิวซีแลนด์

นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ หลบหนีอยู่ในแถบประเทศเพื่อนบ้าน

ตั้งทีมล่าขบวนการหมิ่นเจ้าในต่างประเทศ

แม้ว่าการติดตามจับกุมผู้ต้องหาคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่หลบหนีไปต่างประเทศ จะทำได้ยาก เพราะมีอุปสรรคทั้งการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน และเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศก็ตาม แต่กระทรวงยุติธรรม ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบโดยตรง ก็พยายามยกระดับการทำงาน เพื่อจะได้เห็นความคืบหน้าที่ชัดเจน

โดย พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เรียกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงวัฒนธรรม เข้าประชุมวางมาตรการใหม่ เพื่อตั้งคณะทำงานชุดใหม่ บูรณาการคลุมครบ 4 ด้าน คือ 1. การบังคับใช้กฎหมาย 2. การต่างประเทศ 3. การเผยแพร่ข้อมูลข้าวสารทางโซเชียลมีเดีย และ 4. ทำความเข้าใจกับกลุ่มในประเทศและต่างประเทศ

“จะมีการทำงานทั้งการติดตาม ปราบปรามระงับยับยั้งเกี่ยวกับไอซีที การดำเนินการระหว่างประเทศ และการสร้างทัศนคติเข้าใจให้แก่คนไทย ทั้ง 4 กลุ่มต้องดำเนินการควบคู่กันไป และกระทรวงการต่างประเทศ ต้องเป็นฝ่ายนำข้อมูลทั้งหมดนี้ไปชี้แจงต่อนานาชาติ”

ผุดกฎหมายปราบคนผิดบนโลกออนไลน์

ด้านแหล่งข่าวจากรัฐบาล ระบุว่า เมื่อขบวนการหมิ่นเบื้องสูงมีการพัฒนาปรับรูปแบบมาใช้วิธีการแพร่ข้อมูลหมิ่นเจ้าฯ ผ่านทางสังคมโซเชียลมีเดียในโลกออนไลน์ ซึ่งมีความรวดเร็วและแพร่กระจายได้ในวงกว้าง จนทำให้กฎหมายและเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถตามจับตัวผู้กระทำผิดได้นั้น ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้หน่วยงานต่างๆ เร่งจัดการกับเรื่องนี้และหาวิธีการในทุกๆ ด้านเพื่อจัดการนำผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้

โดยเฉพาะการปรับปรุงกฎหมายเก่าหรือร่างกฎหมายใหม่ ที่จะนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และร่าง พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคล ของกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่จะมีการปรับให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ในสังคมออนไลน์มากยิ่งขึ้น เพื่อจะนำมาใช้ตรวจสอบบุคคล ที่เจ้าหน้าที่มีข้อมูลว่ากระทำผิดกฎหมาย หรือการกระทำที่หมิ่นสถาบัน

สำหรับความคืบหน้าของกฎหมายฉบับนี้ ในปัจจุบันยังเป็นร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ต้องรับฟังความคิดเห็น เพื่อนำมาประกอบการพิจารณา เพื่อไม่ให้กฎหมายฉบับนี้ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของประชาชน หรือบุคคลทั่วไป แต่จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ทำงานสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น

ปัญหาและอุปสรรคคุมสื่อดิจิตอล

ด้าน อาจารย์ปริญญา หอมเอนก ผู้ก่อตั้ง ACIS Professional Center และเลขานุการสมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ TISA กล่าวถึงปัญหาการคุมสื่อในโซเชียลมีเดีย ที่ไม่สามารถหาและตามจับตัวผู้กระทำความผิดได้ง่ายนัก เพราะขบวนการหมิ่นสถาบัน มีความเชี่ยวชาญในเรื่องเทคโนโลยีชั้นสูง สามารถจัดรายการออนไลน์ ที่ไหนในโลกนี้ก็ได้ ได้ในทุกสถานที่ ทุกเวลา และสามารถออกอากาศได้ทั่วโลก

นอกจากนี้ในการตามจับคนที่ทำความผิดโดยใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมเพราะเป็นช่องทางในการแพร่กระจายข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว อาจต้องพบอุปสรรคในเรื่องการตรวจสอบ เพราะบริษัทเจ้าของสื่อโซเชียลมีเดียทั้งหลาย เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูป ไลน์ ต่างก็ไม่มีนโยบายในการเปิดเผยของผู้ใช้งาน ดังนั้นน่าจะมีการตกลงให้มีการดำเนินธุรกิจที่เหมาะสมสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ที่ภาครัฐสามารถควบคุมได้

ดังนั้นแม้การจัดการขบวนการหมิ่นสถาบัน จะมีความยากลำบากเพียงใดโดยเฉพาะกับบรรดาบริษัทเจ้าของสื่อโซเซียลมีเดียในต่างประเทศก็ตาม แต่ด้วยความตั้งใจของรัฐบาลตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวใน "รายการคืนความสุขให้คนในชาติ" วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2558 นี้ ว่าจะเร่งจับคนทำผิด หมิ่นสถาบัน ก็ทำให้คนไทยมีความหวังที่จะจัดการพวกแก๊งหมิ่นสถาบันได้แล้ว!

กำลังโหลดความคิดเห็น