นักเศรษฐศาสตร์เห็นพ้องเศรษฐกิจไทยพ้นจุดต่ำสุด หลัง คสช. เร่งจ่ายเงินให้ชาวนา 9.2 หมื่นล้านบาท กระตุ้นกำลังซื้อได้ทันที ส่วนแนวทางสานต่อเมกะโปรเจกต์ช่วยเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว แม้จะเป็นแผนงานเดิมที่มีอยู่แล้ว แต่การที่ยุติปัญหาทางการเมืองได้ และมีอำนาจในการบริหารจัดการทำให้โครงการเดิมๆ ที่เคยติดขัด เดินหน้าต่อไปได้ ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นกว่าเดิม
หลังจากการยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการจากพรรคเพื่อไทยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และเข้าบริหารงานแทนในนามของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และได้หารือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อยุติปัญหา พร้อมด้วยการให้ผู้ชุมนุมทั้ง กปปส.และ นปช.เลิกการชุมนุม สถานการณ์ทางการเมืองที่เคยร้อนแรงจนส่อจะมีการปะทะกันของมวลชนทั้ง 2 ฝ่ายยุติลง
การเข้ามายุติปัญหาของประเทศในครั้งนี้แม้จะเหมือนกับครั้งก่อนๆ คือ การยึดอำนาจ แต่วิธีการจัดการกับปัญหากลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ครั้งนี้ดูเหมือนทุกอย่างเตรียมการมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะแนวทางในการฟื้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาที่ยังคั่งค้างอยู่
เรื่องเร่งด่วนที่สุดคือการหาเงิน 9.2 หมื่นล้านบาทมาจ่ายให้กับชาวนา
ฉีด 9 หมื่นล้านใช้หนี้ชาวนา
26 พฤษภาคม คสช. ได้เปิดให้มีการจ่ายเงินให้กับชาวนาที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยค้างชำระต่อชาวนาในโครงการรับจำนำข้าวมาร่วม 1 ปี อุปสรรคต่างๆ ที่เคยเป็นปัญหากับรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งข้อติดขัดเรื่องรัฐบาลรักษาการหรือติดขัดในเรื่องรัฐธรรมนูญถูกทะลวงออกไป ด้วยผลของการยึดอำนาจ
รอยยิ้มของชาวนาที่ได้รับเงินค่าข้าว กลายเป็นรอยยิ้มของคนทั้งประเทศ ชาวนาจำนวนไม่น้อยที่ออกมาแสดงความขอบคุณต่อ คสช. นับเป็นการปลดเปลื้องทุกข์ของชาวนาที่ต้องทนทุกข์กับการไม่มีรายได้มาอย่างยาวนาน และมาตรการนี้ยังเท่ากับได้ใจชาวนาไปทั้ง 8 แสนรายบวกด้วยคนในครอบครัวทั้งหมดไปครอง
มิตินี้ คสช. ได้ทั้งกล่องและใจของชาวนาไปไม่น้อย นับเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ได้ผลมากกว่าเพียงแค่การชำระหนี้ทั่วไป หรือแม้เมื่อชาวนาที่รับเงินค่าข้าวไปแล้วจะเจอปัญหาเจ้าหนี้มาทวงหนี้ ทาง คสช. ก็มีคำเตือนไปยังเจ้าหนี้ต่างๆ ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ใช่มาข่มขู่ คุกคามหรือทวงหนี้ด้วยวิธีการที่รุนแรง แปลว่าหนี้ที่ชาวนามีก็ต้องใช้ แต่เจ้าหนี้ก็ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ หรือถ้าชาวนาที่เป็นลูกหนี้อยู่ไม่ยอมชำระก็ต้องไปฟ้องต่อศาล
งานนี้ถ้าชาวนาไม่รัก คสช. ที่มีทหารเต็มในทุกพื้นที่ก็ใจแข็งเกินไป
เงิน 9.2 หมื่นล้านบาทก้อนนี้ อาจต้องทยอยจ่ายและน่าจะจ่ายครบในเดือนมิถุนายน เงินก้อนดังกล่าวแม้จะเป็นเงินก้อนไม่ใหญ่มาก แต่ก็เพียงพอที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาได้
ดึงเมกะโปรเจกต์กระตุ้นเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ แผนในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้ คสช.นั้น ด้วยการนำเอาโครงการเมกะโปรเจกต์ 2.2 ล้านล้านบาท บางส่วนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ในฐานะรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ดูแลงานด้านเศรษฐกิจ ได้เรียกประชุมส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอยู่ในขั้นหารือถึงความพร้อมของโครงการต่างๆ
“โครงการที่มีความพร้อมในเรื่องงบประมาณ และไม่มีปัญหาในข้อกฎหมาย ที่ดิน สิ่งแวดล้อมจะต้องเดินหน้าต่อแน่นอน ส่วนโครงการที่อาจจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมและต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก จะต้องพิจารณาใหม่”
โครงการใดที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ประชาชนได้ประโยชน์ต้องทำก่อน เน้นเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ส่วนโครงการที่มีงบประมาณหรือมีความพร้อมในเรื่องการลงทุนอยู่แล้วก็สามารถดำเนินการได้ต่อเนื่องทันที เช่น การพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2 เพื่อขยายการรองรับเป็น 60 ล้านคนต่อปี และการขยายท่าอากาศยานดอนเมืองเพื่อรองรับเป็น 30 ล้านคนต่อปี
ไม่เพียงแค่การนำเอาโครงการเมกะโปรเจกต์บางส่วนที่มีความพร้อมมาดำเนินการต่อแล้ว ยังได้เร่งดำเนินการในการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2557 ที่งบลงทุนอีกราว 2.47 แสนล้านบาท ยังไม่มีการเบิกจ่ายออกมาเนื่องจากรัฐบาลเดิมอยู่ในสถานะรัฐบาลรักษาการ
ขณะเดียวกัน ยังเตรียมการงบประมาณประจำปี 2558 ที่จะเริ่มใช้ในเดือนตุลาคม 2557 นี้ เบื้องต้นได้กำหนดไว้ที่ 2.6 ล้านล้านบาท และกำหนดให้เป็นงบประมาณแบบขาดดุลไม่เกิน 2 แสนล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังจะต้องจัดเก็บรายได้ 2.4 ล้านล้านบาท
นับเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำของประเทศที่เกิดขึ้นจากปัญหาทางการเมืองและสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกภายใต้การบริหารประเทศของ คสช. ที่มีแผนงานและดำเนินการได้อย่างรวดเร็วหลังจากการเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการของพรรคเพื่อไทย
อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวชี้วัดและตอบรับในเชิงบวกต่อแนวทางในการฟื้นเมกะโปรเจกต์ นั่นคือราคาหุ้นของบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ราคาปรับขึ้นมาและมีปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้นกว่าเดิม เพื่อตอบรับกับงานก่อสร้างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมไปถึงบริษัทอสังหาริมทรัพย์บางรายที่ได้รับผลบวกจากนโยบายนี้ ทั้งนี้ภายใต้การเข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศของ คสช. หลายฝ่ายจึงเชื่อมั่นว่าข้อจำกัดเดิมๆ ที่เคยเป็นอุปสรรคในช่วงที่มีรัฐบาลปกติ ที่ทำให้โครงการต่างๆ ล่าช้าลง อาจจะได้รับการจัดการอย่างรวดเร็วภายใต้การเข้ามาจัดการของ คสช.
จุดต่ำสุดผ่านไปแล้ว
“ตอนนี้จุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านพ้นไปแล้ว” ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าว
เงิน 9 หมื่นล้านบาทที่ คสช. จ่ายให้กับชาวนาที่รัฐบาลเดิมติดค้างจากโครงการจำนำข้าว เงินในส่วนนี้จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และจะเห็นผลเร็วโดยในอีก 1-2 เดือน ตัวเลขการบริโภคภาคประชาชนจะเริ่มดีขึ้น เนื่องจากชาวนาจะเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายเร็ว ดังนั้น การจ่ายเงินให้กับชาวนาถือเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
นอกจากนี้ การดึงเอาโครงการ 2 ล้านล้านบาทเข้ามาดำเนินการต่อ ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ดำเนินการควบคู่กันไป เพราะโครงการสร้างรถไฟฟ้าเหล่านี้ได้มีแผนกันมาตั้งแต่ก่อนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โครงการหลายตัวมีงบประมาณรองรับไว้อยู่แล้ว จึงสามารถดำเนินการต่อได้ทันที ส่วนเส้นทางที่จะเลือกมาดำเนินการคงขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ คสช. ตรงนี้จะช่วยให้เศรษฐกิจระยะกลางและระยะยาวเติบโตต่อไปได้
สอดคล้องกับนักเศรษฐศาสตร์อีกรายที่มองว่า การเข้ามาของ คสช. จะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นกว่าในช่วงที่มีความอึมครึมทางการเมือง เดิมคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในช่วงที่ยังไม่มีข้อยุติทางการเมืองนั้นน่าจะเติบโตได้เพียง 1% แต่เมื่อ คสช.เข้ามายุติปัญหาและดำเนินการต่อนั้นปีนี้น่าจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดีกว่าเดิม แต่น่าจะไม่เกิน 2%
มาตรการที่ คสช. เร่งดำเนินการอยู่นั้นส่วนใหญ่เป็นการสานต่อโครงการเดิมที่เคยมีแผนงานไว้ก่อนหน้านี้ ในช่วงที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลรักษาการอยู่ก็ไม่สามารถดำเนินการต่อในบางโครงการได้ โดยอาจจะมีการดำเนินโครงการรถไฟรางคู่ในบางเส้นทาง ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูงหากจะดำเนินการก็ต้องเข้าสู่กระบวนการต่างๆ อีกหลายขั้นตอน อย่างเร็วก็อาจต้องรอไปถึงปี 2558
“ต้องชมว่าทหารที่เข้ามายุติปัญหาในครั้งนี้ทำการบ้านมาดี ทุกอย่างจัดการได้อย่างรวดเร็ว ทั้งเรื่องจ่ายเงินให้กับชาวนาที่ถูกรัฐบาลชุดก่อนค้างจ่ายหรือการเลือกที่จะเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจกต์”
ส่วนการที่จะทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้ตามปกตินั้นคงต้องรอให้สถานการณ์การต่อต้านยุติลงก่อน โดยที่นักลงทุนต่างประเทศขณะนี้ยังเลือกที่จะรอดูสถานการณ์ไปอีก 3-6 เดือน หากทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี และมีการผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ มากขึ้น ทุกอย่างก็จะค่อยๆ เริ่มดีขึ้น
หลังจากการยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการจากพรรคเพื่อไทยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และเข้าบริหารงานแทนในนามของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และได้หารือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อยุติปัญหา พร้อมด้วยการให้ผู้ชุมนุมทั้ง กปปส.และ นปช.เลิกการชุมนุม สถานการณ์ทางการเมืองที่เคยร้อนแรงจนส่อจะมีการปะทะกันของมวลชนทั้ง 2 ฝ่ายยุติลง
การเข้ามายุติปัญหาของประเทศในครั้งนี้แม้จะเหมือนกับครั้งก่อนๆ คือ การยึดอำนาจ แต่วิธีการจัดการกับปัญหากลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ครั้งนี้ดูเหมือนทุกอย่างเตรียมการมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะแนวทางในการฟื้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาที่ยังคั่งค้างอยู่
เรื่องเร่งด่วนที่สุดคือการหาเงิน 9.2 หมื่นล้านบาทมาจ่ายให้กับชาวนา
ฉีด 9 หมื่นล้านใช้หนี้ชาวนา
26 พฤษภาคม คสช. ได้เปิดให้มีการจ่ายเงินให้กับชาวนาที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยค้างชำระต่อชาวนาในโครงการรับจำนำข้าวมาร่วม 1 ปี อุปสรรคต่างๆ ที่เคยเป็นปัญหากับรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งข้อติดขัดเรื่องรัฐบาลรักษาการหรือติดขัดในเรื่องรัฐธรรมนูญถูกทะลวงออกไป ด้วยผลของการยึดอำนาจ
รอยยิ้มของชาวนาที่ได้รับเงินค่าข้าว กลายเป็นรอยยิ้มของคนทั้งประเทศ ชาวนาจำนวนไม่น้อยที่ออกมาแสดงความขอบคุณต่อ คสช. นับเป็นการปลดเปลื้องทุกข์ของชาวนาที่ต้องทนทุกข์กับการไม่มีรายได้มาอย่างยาวนาน และมาตรการนี้ยังเท่ากับได้ใจชาวนาไปทั้ง 8 แสนรายบวกด้วยคนในครอบครัวทั้งหมดไปครอง
มิตินี้ คสช. ได้ทั้งกล่องและใจของชาวนาไปไม่น้อย นับเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ได้ผลมากกว่าเพียงแค่การชำระหนี้ทั่วไป หรือแม้เมื่อชาวนาที่รับเงินค่าข้าวไปแล้วจะเจอปัญหาเจ้าหนี้มาทวงหนี้ ทาง คสช. ก็มีคำเตือนไปยังเจ้าหนี้ต่างๆ ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ใช่มาข่มขู่ คุกคามหรือทวงหนี้ด้วยวิธีการที่รุนแรง แปลว่าหนี้ที่ชาวนามีก็ต้องใช้ แต่เจ้าหนี้ก็ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ หรือถ้าชาวนาที่เป็นลูกหนี้อยู่ไม่ยอมชำระก็ต้องไปฟ้องต่อศาล
งานนี้ถ้าชาวนาไม่รัก คสช. ที่มีทหารเต็มในทุกพื้นที่ก็ใจแข็งเกินไป
เงิน 9.2 หมื่นล้านบาทก้อนนี้ อาจต้องทยอยจ่ายและน่าจะจ่ายครบในเดือนมิถุนายน เงินก้อนดังกล่าวแม้จะเป็นเงินก้อนไม่ใหญ่มาก แต่ก็เพียงพอที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาได้
ดึงเมกะโปรเจกต์กระตุ้นเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ แผนในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้ คสช.นั้น ด้วยการนำเอาโครงการเมกะโปรเจกต์ 2.2 ล้านล้านบาท บางส่วนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ในฐานะรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ดูแลงานด้านเศรษฐกิจ ได้เรียกประชุมส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอยู่ในขั้นหารือถึงความพร้อมของโครงการต่างๆ
“โครงการที่มีความพร้อมในเรื่องงบประมาณ และไม่มีปัญหาในข้อกฎหมาย ที่ดิน สิ่งแวดล้อมจะต้องเดินหน้าต่อแน่นอน ส่วนโครงการที่อาจจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมและต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก จะต้องพิจารณาใหม่”
โครงการใดที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ประชาชนได้ประโยชน์ต้องทำก่อน เน้นเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ส่วนโครงการที่มีงบประมาณหรือมีความพร้อมในเรื่องการลงทุนอยู่แล้วก็สามารถดำเนินการได้ต่อเนื่องทันที เช่น การพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2 เพื่อขยายการรองรับเป็น 60 ล้านคนต่อปี และการขยายท่าอากาศยานดอนเมืองเพื่อรองรับเป็น 30 ล้านคนต่อปี
ไม่เพียงแค่การนำเอาโครงการเมกะโปรเจกต์บางส่วนที่มีความพร้อมมาดำเนินการต่อแล้ว ยังได้เร่งดำเนินการในการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2557 ที่งบลงทุนอีกราว 2.47 แสนล้านบาท ยังไม่มีการเบิกจ่ายออกมาเนื่องจากรัฐบาลเดิมอยู่ในสถานะรัฐบาลรักษาการ
ขณะเดียวกัน ยังเตรียมการงบประมาณประจำปี 2558 ที่จะเริ่มใช้ในเดือนตุลาคม 2557 นี้ เบื้องต้นได้กำหนดไว้ที่ 2.6 ล้านล้านบาท และกำหนดให้เป็นงบประมาณแบบขาดดุลไม่เกิน 2 แสนล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังจะต้องจัดเก็บรายได้ 2.4 ล้านล้านบาท
นับเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำของประเทศที่เกิดขึ้นจากปัญหาทางการเมืองและสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกภายใต้การบริหารประเทศของ คสช. ที่มีแผนงานและดำเนินการได้อย่างรวดเร็วหลังจากการเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการของพรรคเพื่อไทย
อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวชี้วัดและตอบรับในเชิงบวกต่อแนวทางในการฟื้นเมกะโปรเจกต์ นั่นคือราคาหุ้นของบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ราคาปรับขึ้นมาและมีปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้นกว่าเดิม เพื่อตอบรับกับงานก่อสร้างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมไปถึงบริษัทอสังหาริมทรัพย์บางรายที่ได้รับผลบวกจากนโยบายนี้ ทั้งนี้ภายใต้การเข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศของ คสช. หลายฝ่ายจึงเชื่อมั่นว่าข้อจำกัดเดิมๆ ที่เคยเป็นอุปสรรคในช่วงที่มีรัฐบาลปกติ ที่ทำให้โครงการต่างๆ ล่าช้าลง อาจจะได้รับการจัดการอย่างรวดเร็วภายใต้การเข้ามาจัดการของ คสช.
จุดต่ำสุดผ่านไปแล้ว
“ตอนนี้จุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านพ้นไปแล้ว” ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าว
เงิน 9 หมื่นล้านบาทที่ คสช. จ่ายให้กับชาวนาที่รัฐบาลเดิมติดค้างจากโครงการจำนำข้าว เงินในส่วนนี้จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และจะเห็นผลเร็วโดยในอีก 1-2 เดือน ตัวเลขการบริโภคภาคประชาชนจะเริ่มดีขึ้น เนื่องจากชาวนาจะเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายเร็ว ดังนั้น การจ่ายเงินให้กับชาวนาถือเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
นอกจากนี้ การดึงเอาโครงการ 2 ล้านล้านบาทเข้ามาดำเนินการต่อ ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ดำเนินการควบคู่กันไป เพราะโครงการสร้างรถไฟฟ้าเหล่านี้ได้มีแผนกันมาตั้งแต่ก่อนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โครงการหลายตัวมีงบประมาณรองรับไว้อยู่แล้ว จึงสามารถดำเนินการต่อได้ทันที ส่วนเส้นทางที่จะเลือกมาดำเนินการคงขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ คสช. ตรงนี้จะช่วยให้เศรษฐกิจระยะกลางและระยะยาวเติบโตต่อไปได้
สอดคล้องกับนักเศรษฐศาสตร์อีกรายที่มองว่า การเข้ามาของ คสช. จะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นกว่าในช่วงที่มีความอึมครึมทางการเมือง เดิมคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในช่วงที่ยังไม่มีข้อยุติทางการเมืองนั้นน่าจะเติบโตได้เพียง 1% แต่เมื่อ คสช.เข้ามายุติปัญหาและดำเนินการต่อนั้นปีนี้น่าจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดีกว่าเดิม แต่น่าจะไม่เกิน 2%
มาตรการที่ คสช. เร่งดำเนินการอยู่นั้นส่วนใหญ่เป็นการสานต่อโครงการเดิมที่เคยมีแผนงานไว้ก่อนหน้านี้ ในช่วงที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลรักษาการอยู่ก็ไม่สามารถดำเนินการต่อในบางโครงการได้ โดยอาจจะมีการดำเนินโครงการรถไฟรางคู่ในบางเส้นทาง ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูงหากจะดำเนินการก็ต้องเข้าสู่กระบวนการต่างๆ อีกหลายขั้นตอน อย่างเร็วก็อาจต้องรอไปถึงปี 2558
“ต้องชมว่าทหารที่เข้ามายุติปัญหาในครั้งนี้ทำการบ้านมาดี ทุกอย่างจัดการได้อย่างรวดเร็ว ทั้งเรื่องจ่ายเงินให้กับชาวนาที่ถูกรัฐบาลชุดก่อนค้างจ่ายหรือการเลือกที่จะเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจกต์”
ส่วนการที่จะทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้ตามปกตินั้นคงต้องรอให้สถานการณ์การต่อต้านยุติลงก่อน โดยที่นักลงทุนต่างประเทศขณะนี้ยังเลือกที่จะรอดูสถานการณ์ไปอีก 3-6 เดือน หากทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี และมีการผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ มากขึ้น ทุกอย่างก็จะค่อยๆ เริ่มดีขึ้น