การยึดอำนาจของ คสช. ภายใต้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เชื่อมีการวางแผน เตรียมการอย่างดีเยี่ยม ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ ชี้ “บิ๊กตู่” จะปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงทุกแห่ง ทำหน้าที่รัฐมนตรีและอนาคตประเทศ ฝากไว้ในมือข้าราชการ
นักรัฐศาสตร์รายหนึ่งมองถึงการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ว่า การเข้ายึดอำนาจรัฐบาลจากคณะทหารครั้งนี้ไม่แตกต่างจากครั้งก่อนๆ แต่ครั้งนี้มีขั้นตอนที่เพิ่มขึ้นมา โดยเริ่มต้นด้วยการประกาศกฎอัยการศึกก่อน หากสังเกตให้ดีจะพบว่ามีการเรียกข้าราชการต่างๆ เข้ามารับทราบแนวทางของกองทัพบก ซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากการยึดอำนาจจากรัฐบาล
ครั้งนี้มีการกำหนดหัวข้อในการหารือว่าต้องการหาทางออกให้กับประเทศ โดยเชิญฝ่ายรัฐบาลและคู่ขัดแย้ง ให้เข้าไปร่วมกันแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาจริงๆ หรือตั้งใจที่จะดึงเอาคู่ขัดแย้งมารวมไว้ในที่เดียวกันแล้วคุมตัวไว้เมื่อไม่สามารถหาข้อยุติได้
แต่วิธีการนี้ถือได้ว่าทำให้การจับตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งมานั้นไม่ต้องใช้เรื่องความรุนแรง อย่างกรณีของนายจตุพร พรหมพันธ์ุ และแกนนำเสื้อแดงคนอื่นๆ หากจะใช้กำลังทหารเข้าไปในเวทีคงจะมีการปะทะกันอย่างแน่นอน และก็อาจจะไม่ได้ตัวแกนนำเหล่านี้มาเพื่อหาข้อยุติปัญหา เช่นเดียวกับแกนนำ กปปส.
การวางเกมของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ถือว่ามีการวางแผนมาอย่างดี น่าจะเป็นการศึกษามาจากบทเรียนเมื่อปี 2549 เป็นต้นมา และมีการวางกำลังทหารจากการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้ทหารเข้าไปในพื้นที่ของคนเสื้อแดงได้ เมื่อผลการหารือในวันที่ 22 พฤษภาคมไม่ได้ข้อยุติและพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ตัดสินใจที่จะยึดอำนาจจากรัฐบาล การดำเนินการทางทหารที่เข้าไปจับตัวแกนนำคนอื่นๆ จึงทำได้อย่างง่ายดาย โดยไม่มีเหตุปะทะกันรุนแรง
“พูดกันตรงๆ ว่า คสช.เขายึดอำนาจมาตั้งแต่วันที่ประกาศกฎอัยการศึกแล้ว เพียงแต่ขั้นตอนที่วางเอาไว้ทำให้ดูเหมือนว่าไม่ใช่การยึดอำนาจจากรัฐบาลโดยตรง โดยมีหัวข้อการหารือเพื่อหาทางออกประเทศเข้ามาเป็นตัวดึงให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้ามารวมตัวกันในที่ที่ทหารจัดไว้ให้ เมื่อทุกอย่างไม่ลงตัว การยึดอำนาจในครั้งนี้จึงกระทำได้อย่างง่ายดาย”
หลังจากมีการประกาศยึดอำนาจจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยแล้ว คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ได้ออกประกาศในเรื่องการจัดส่วนงาน การกำหนดอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยมีการจัดแบ่งส่วนงานเป็นฝ่ายต่างๆ ได้แก่ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายเศรษฐกิจ ฝ่ายสังคมจิตวิทยา ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ฝ่ายกิจการพิเศษ และส่วนงานขึ้นตรงหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และมีส่วนราชการของกระทรวงต่างๆ เป็นหน่วยที่ขึ้นตรงและปฏิบัติงาน
นอกจากนี้ยังได้แบ่งงานให้พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง และมีพลเอกอักษรา เกิดผล เสนาธิการทหารบก เป็นรองหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง รับผิดชอบ 4 หน่วยงานคือ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และกระทรวงการต่างประเทศ
ฝ่ายสังคมจิตวิทยา มีพลเรือเอกณรงค์ พัฒนาศัย เป็นหัวหน้าฝ่ายสังคมจิตวิทยา รับผิดชอบ 7 หน่วยงานคือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ฝ่ายเศรษฐกิจ มีพลอากาศเอกประจิน จั่นตอง เป็นหัวหน้าหน่วยเศรษฐกิจ รับผิดชอบ 7 หน่วยงาน คือ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน และกระทรวงคมนาคม
ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม มีพลเอกไพบูลย์ คุมฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม รับผิดชอบ 3 หน่วยงาน คือกระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ส่วนฝ่ายกิจการพิเศษ มีพลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ รับผิดชอบ 20 หน่วยงาน เช่น สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี กฤษฎีกา คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สภาพัฒน์ คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ปลัดสำนักนายกฯ กรมประชาสัมพันธ์ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักนายกฯ สำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง สำนักพระพุทธศาสนา ฯลฯ
ส่วนหน่วยขึ้นตรงกับหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มี 5 หน่วยงานได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงบประมาณ
เพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังการยึดอำนาจจากรัฐบาล คสช.สามารถที่จะประกาศการแบ่งส่วนงานต่างๆ พร้อมทั้งวางตัวบุคคลที่ส่วนใหญ่เป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ และมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเข้ามาร่วมดูแลในฝ่ายกิจการพิเศษ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการทำรัฐประหารรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้มีการเตรียมการมาเป็นอย่างดี วางแผนอย่างเป็นระบบ และอาจจะมีทั้งแผนหลักและแผนสำรองไว้ เพราะทุกอย่างรวดเร็วมาก
ที่สำคัญการบริหารประเทศต่อจากนี้ไปจะอยู่ในมือของข้าราชการ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ บอกกับข้าราชการที่เข้าไปรายงานตัวว่า ขอฝากความหวังในการบริหารประเทศไว้กับข้าราชการที่รักแผ่นดินมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ให้ช่วยกันนำพาประเทศผ่านวิกฤตครั้งนี้ไป และสิ่งที่ชัดเจนก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาควมสงบแห่งชาติ จะเป็นผู้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี และปลัดกระทรวงต่างๆ ก็จะทำหน้าที่รัฐมนตรีนั่นเอง!
นักรัฐศาสตร์รายหนึ่งมองถึงการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ว่า การเข้ายึดอำนาจรัฐบาลจากคณะทหารครั้งนี้ไม่แตกต่างจากครั้งก่อนๆ แต่ครั้งนี้มีขั้นตอนที่เพิ่มขึ้นมา โดยเริ่มต้นด้วยการประกาศกฎอัยการศึกก่อน หากสังเกตให้ดีจะพบว่ามีการเรียกข้าราชการต่างๆ เข้ามารับทราบแนวทางของกองทัพบก ซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากการยึดอำนาจจากรัฐบาล
ครั้งนี้มีการกำหนดหัวข้อในการหารือว่าต้องการหาทางออกให้กับประเทศ โดยเชิญฝ่ายรัฐบาลและคู่ขัดแย้ง ให้เข้าไปร่วมกันแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาจริงๆ หรือตั้งใจที่จะดึงเอาคู่ขัดแย้งมารวมไว้ในที่เดียวกันแล้วคุมตัวไว้เมื่อไม่สามารถหาข้อยุติได้
แต่วิธีการนี้ถือได้ว่าทำให้การจับตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งมานั้นไม่ต้องใช้เรื่องความรุนแรง อย่างกรณีของนายจตุพร พรหมพันธ์ุ และแกนนำเสื้อแดงคนอื่นๆ หากจะใช้กำลังทหารเข้าไปในเวทีคงจะมีการปะทะกันอย่างแน่นอน และก็อาจจะไม่ได้ตัวแกนนำเหล่านี้มาเพื่อหาข้อยุติปัญหา เช่นเดียวกับแกนนำ กปปส.
การวางเกมของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ถือว่ามีการวางแผนมาอย่างดี น่าจะเป็นการศึกษามาจากบทเรียนเมื่อปี 2549 เป็นต้นมา และมีการวางกำลังทหารจากการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้ทหารเข้าไปในพื้นที่ของคนเสื้อแดงได้ เมื่อผลการหารือในวันที่ 22 พฤษภาคมไม่ได้ข้อยุติและพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ตัดสินใจที่จะยึดอำนาจจากรัฐบาล การดำเนินการทางทหารที่เข้าไปจับตัวแกนนำคนอื่นๆ จึงทำได้อย่างง่ายดาย โดยไม่มีเหตุปะทะกันรุนแรง
“พูดกันตรงๆ ว่า คสช.เขายึดอำนาจมาตั้งแต่วันที่ประกาศกฎอัยการศึกแล้ว เพียงแต่ขั้นตอนที่วางเอาไว้ทำให้ดูเหมือนว่าไม่ใช่การยึดอำนาจจากรัฐบาลโดยตรง โดยมีหัวข้อการหารือเพื่อหาทางออกประเทศเข้ามาเป็นตัวดึงให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้ามารวมตัวกันในที่ที่ทหารจัดไว้ให้ เมื่อทุกอย่างไม่ลงตัว การยึดอำนาจในครั้งนี้จึงกระทำได้อย่างง่ายดาย”
หลังจากมีการประกาศยึดอำนาจจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยแล้ว คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ได้ออกประกาศในเรื่องการจัดส่วนงาน การกำหนดอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยมีการจัดแบ่งส่วนงานเป็นฝ่ายต่างๆ ได้แก่ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายเศรษฐกิจ ฝ่ายสังคมจิตวิทยา ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ฝ่ายกิจการพิเศษ และส่วนงานขึ้นตรงหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และมีส่วนราชการของกระทรวงต่างๆ เป็นหน่วยที่ขึ้นตรงและปฏิบัติงาน
นอกจากนี้ยังได้แบ่งงานให้พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง และมีพลเอกอักษรา เกิดผล เสนาธิการทหารบก เป็นรองหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง รับผิดชอบ 4 หน่วยงานคือ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และกระทรวงการต่างประเทศ
ฝ่ายสังคมจิตวิทยา มีพลเรือเอกณรงค์ พัฒนาศัย เป็นหัวหน้าฝ่ายสังคมจิตวิทยา รับผิดชอบ 7 หน่วยงานคือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ฝ่ายเศรษฐกิจ มีพลอากาศเอกประจิน จั่นตอง เป็นหัวหน้าหน่วยเศรษฐกิจ รับผิดชอบ 7 หน่วยงาน คือ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน และกระทรวงคมนาคม
ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม มีพลเอกไพบูลย์ คุมฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม รับผิดชอบ 3 หน่วยงาน คือกระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ส่วนฝ่ายกิจการพิเศษ มีพลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ รับผิดชอบ 20 หน่วยงาน เช่น สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี กฤษฎีกา คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สภาพัฒน์ คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ปลัดสำนักนายกฯ กรมประชาสัมพันธ์ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักนายกฯ สำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง สำนักพระพุทธศาสนา ฯลฯ
ส่วนหน่วยขึ้นตรงกับหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มี 5 หน่วยงานได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงบประมาณ
เพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังการยึดอำนาจจากรัฐบาล คสช.สามารถที่จะประกาศการแบ่งส่วนงานต่างๆ พร้อมทั้งวางตัวบุคคลที่ส่วนใหญ่เป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ และมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเข้ามาร่วมดูแลในฝ่ายกิจการพิเศษ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการทำรัฐประหารรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้มีการเตรียมการมาเป็นอย่างดี วางแผนอย่างเป็นระบบ และอาจจะมีทั้งแผนหลักและแผนสำรองไว้ เพราะทุกอย่างรวดเร็วมาก
ที่สำคัญการบริหารประเทศต่อจากนี้ไปจะอยู่ในมือของข้าราชการ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ บอกกับข้าราชการที่เข้าไปรายงานตัวว่า ขอฝากความหวังในการบริหารประเทศไว้กับข้าราชการที่รักแผ่นดินมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ให้ช่วยกันนำพาประเทศผ่านวิกฤตครั้งนี้ไป และสิ่งที่ชัดเจนก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาควมสงบแห่งชาติ จะเป็นผู้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี และปลัดกระทรวงต่างๆ ก็จะทำหน้าที่รัฐมนตรีนั่นเอง!