“หมอณรงค์-หมอเหรียญทอง” 2 ฮีโร่ในใจคนไทย ที่เป็นทั้ง “ผู้กล้า” และ “ผู้เสียสละ” ออกมายืนหยัดต่อสู้เคียงข้างมวลมหาประชาชน แม้มีความเสี่ยงถึงชีวิต! ชี้การออกมาของ นพ.ณรงค์ เป็นการทำให้ข้าราชการระดับกลาง-ล่างหมดกังวลเรื่องความผิดทางวินัย อีกทั้งเป็นครั้งแรกวงการหมอที่เป็นเอกภาพ มีพลังที่สุด ชวนข้าราชการกระทรวงอื่นแสดงตนสู้ในเวลานี้ เพราะสุกงอมที่สุดแล้ว และมวลมหาประชาชนจะชนะ! ขณะที่หมอเหรียญทองทำให้เครือข่ายปกป้องสถาบันเข้มแข็งที่สุด
นับเป็นเวลา 6 เดือนแล้วของการออกมาต่อสู้กับอำนาจเผด็จการรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีรักษาการ ของกลุ่มมวลชน กปปส. นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
เป็นศึกการต่อสู้ทางการเมืองที่ยาวนาน และเป็นศึกที่ผู้คร่ำหวอดทางการเมืองต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่า เป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่การต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้เกิดจากภาคประชาชน เป็นการปฏิวัติโดยประชาชน
แต่การปฏิวัติโดยประชาชนนั้น ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก ยากเพราะประชาชนสู้ด้วยมือเปล่า ปราศจากอาวุธและการต่อสู้ของประชาชนไม่ว่าประชาชนจะออกมาแสดงพลังต่อต้านรัฐบาลมากถึง 5 ล้านคน แต่หากรัฐบาลยังเป็นรัฐบาลที่ไร้สำนึกรับผิดชอบทางการเมืองด้วยแล้ว การต่อสู้ทางการเมืองของภาคประชาชนยิ่งเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก
ไม่รวมถึงหน่วยงานดูแลความสงบให้กับบ้านเมือง อย่างองค์กรตำรวจ ที่มีพฤติกรรมเข้าข้างฝ่ายรัฐบาลอย่างชัดเจน หลายคนถึงกับเห็นประชาชนเป็นศัตรู และเลือกอยู่ข้าง พ.ต.ท.ทักษิณอย่างชัดเจน
ดังนั้นบ้านเมืองเราในวันนี้จึงอยู่ในภาวะอิหลักอิเหลื่อ หาทางออกไม่เจอ ฝ่ายใดจะชนะ ฝ่ายใดจะแพ้ เมื่อไม่มีการออกมาต่อสู้กันด้วยอาวุธแล้วย่อมวัดกำลังกันยากที่จะหาผู้ชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จ
หลายคนที่ออกมาต่อต้านรัฐบาล เมื่อระยะเวลายาวนานขึ้นก็เริ่มเบื่อเพราะมองไม่เห็นทางชนะ
แต่กลับได้เห็นความกล้าหาญของข้าราชการระดับปลัดกระทรวงที่ลุกขึ้นมาปลุกพลังข้าราชการทั้งประเทศให้ออกมาปฏิเสธอำนาจไม่ชอบธรรมของรัฐบาลรักษาการ พร้อมๆ กับการออกมาประกาศจัดการพวกหมิ่นสถาบันของ พล.ต.นายแพทย์เหรียญทอง แน่นหนา
และวันนี้เขาทั้งสองกลายเป็นฮีโร่ในใจมวลชนไปแล้ว!
2 ฮีโร่ในใจคนไทย
หนึ่งคือ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ออกตัวประกาศเป็นข้าราชการที่จะยืนเคียงข้างประชาชน สนับสนุนแนวทางการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ไม่หวั่นอำนาจนักการเมือง และที่ผ่านมาที่บ้าน นพ.ณรงค์ ก็โดนยิง M 79 เพื่อข่มขู่ กระทำการมุ่งหวังต่อชีวิต นพ.ณรงค์ ถึงที่บ้าน
อีกหนึ่งคือ นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ที่ประกาศตั้ง “องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน” กวาดล้างกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะรับไม่ได้ที่คนกลุ่มนี้กระทำการในสิ่งที่เรียกว่า “เลวร้ายกว่าสามัญชนกระทำต่อกันเสียอีก” และตั้งคำถามว่า “เราทอดทิ้ง โดดเดี่ยวพระเจ้าอยู่หัว และสถาบันพระมหากษัตริย์มานานเกินไปหรือไม่” ถึงเวลาแล้วที่จะกำจัดขยะแผ่นดิน ด้วยการร่วมเป็นเครือข่ายสืบค้นบุคคลที่กระทำความผิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และแนวร่วม เพื่อเอาตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
คุณหมอ 2 ท่านนี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์การต่อสู้ทางการเมืองแบบใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หมอณรงค์กล้าหาญ-ยืนหยัดสู้รัฐบาลทุจริต
“กรณีปลัดณรงค์ ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของระบบราชการไทย ปกติข้าราชการจะระมัดระวังตัวกับวิกฤตการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่จะเกี่ยวข้องกับสถานภาพของตนเอง ก็จะไม่เคยมีใครออกมาแสดงจุดยืนในการต่อต้านรัฐบาลมาก่อนเลย ปลัดณรงค์ถือว่าเป็นข้าราชการระดับสูงของไทยที่มีความกล้าหาญมาก” ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ที่ปรึกษาด้านวิชาการกลุ่ม กปปส.กล่าว
ยิ่งในสภาวะบ้านเมืองวิกฤตมากทั้งเรื่องของจริยธรรม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง ฯลฯ ขนาดนี้ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะมีข้าราชการโดยเฉพาะข้าราชการระดับสูงที่กล้าหาญเท่ากับ นพ.ณรงค์
ศ.ดร.สมบัติวิเคราะห์ว่า วันนี้ข้าราชการผู้ใหญ่ของทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานรู้ดีว่าวิกฤตของบ้านเมืองครั้งนี้กำลังส่งผลกระทบทางลบต่อบ้านเมืองอย่างไร แต่จะเห็นข้าราชการผู้ใหญ่ส่วนใหญ่มี 4 แบบที่ปรากฏให้เห็น
แบบที่หนึ่ง ข้าราชการผู้ใหญ่บางคนอาจจะได้ดิบได้ดีทางการเมือง ได้ตำแหน่งสูงเพราะระบบอุปถัมภ์ทางการเมือง ก็จะไม่กล้าออกมาต่อต้าน เพราะรู้สึกว่าจะเป็นผู้เนรคุณ
แบบที่สอง คนที่คิดว่าอย่างไรเสียเกาะอำนาจนักการเมือง ทำตามทั้งนโยบายและคำสั่ง โดยไม่ได้สนใจปัญหาบ้านเมือง เพราะคิดว่าจะเป็นการกระทำที่ทำให้ตัวเองมั่นคงทางอาชีพการงานมากขึ้น
แบบที่สาม ข้าราชการผู้ใหญ่ ถูกฝึกมาให้เอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ไม่แน่ใจว่าการแสดงตัวออกไปจะดีหรือไม่ดีกับตัวเอง
แบบที่สี่ แบบนี้แย่ที่สุด คือข้าราชการที่ไม่สนใจความถูกผิด แต่เลือกยืนข้างและแสดงตนรับใช้นักการเมืองอย่างชัดเจน เพราะเกี่ยวข้องกับตำแหน่งหน้าที่การงานของตัวเองในอนาคต
“คนที่ไม่สนใจความถูกผิดเลยนี่ถือว่าเลวร้ายมาก”
ศ.ดร.สมบัติกล่าวว่า กรณี นพ.ณรงค์ ถือว่าเป็นข้าราชการระดับผู้ใหญ่ที่เลือกยืนข้างความถูกต้อง ต่อต้านรัฐบาลโกง และปฏิเสธความรุนแรงทุกรูปแบบนั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นหลักการสากล และเป็นการกระทำของคนดีที่ต่อต้านรัฐบาลขี้โกง แต่รัฐบาลนี้กลับมีท่าทีเหมือนคนกินปูนร้อนท้อง บอกว่า นพ.ณรงค์เป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูของรัฐบาล แล้วยังมีท่าทีคุกคามปลัดกระทรวงสาธารณสุขอีก
“การกระทำของ นพ.ณรงค์ครั้งนี้ สะท้อนความรู้สึกนึกคิดของคนในวงการสาธารณสุขทั้งหมด โดยปกติบุคลากรด้านสาธารณสุขก็มีการเคลื่อนไหวต่อต้านความไม่เป็นธรรมไม่ถูกต้องอยู่แล้ว แต่เป็นการสู้แบบเป็นกลุ่มๆ แต่ไม่เคยมีผู้นำสูงสุดจากฝ่ายข้าราชการเข้าร่วม แสดงว่ารัฐบาลต้องมีปัญหาจริงๆ”
สำหรับการที่ข้าราชการผู้ใหญ่อย่าง นพ.ณรงค์ ออกมาประกาศตัวยืนหยัดสู้กับรัฐบาลครั้งนี้ ก็ยิ่งถือว่าเป็นความกล้าหาญยิ่ง เป็นแบบอย่างของข้าราชการที่ดี ที่ยึดมั่นกับความถูกต้อง โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ไม่มีข้าราชการผู้ใหญ่คนไหนยอมออกมาเป็นผู้นำ แสดงตัวอย่างชัดเจนเช่นนี้
“ข้าราชการระดับเล็กๆ ของกระทรวงพาณิชย์ออกมาแสดงตัวว่าสนับสนุนกลุ่ม กปปส. สุดท้ายกลับถูกสอบวินัย เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ข้าราชการส่วนใหญ่จึงต้องระมัดระวังตัวกันมาก แต่กรณีของปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นกรณีที่โดดเด่นที่ผู้นำกระทรวงออกมานำเอง บุคลากรที่มีใจอยู่แล้วก็พร้อมที่จะออกมา” ศ.ดร.สมบัติกล่าว
หมอชนบทหนุนสู้-องคาพยพสาธารณสุขรวมเป็นหนึ่ง
นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลา หนึ่งในแกนนำกลุ่มแพทย์ชนบท กล่าวเช่นเดียวกันว่า การออกมาเป็นผู้นำของปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีข้อดี คือทำให้การต่อสู้ของบุคลากรสาธารณสุขเป็นหนึ่งเดียว และมีพลังในการต่อสู้อย่างมาก
“หมอณรงค์ร่วมต่อสู้กับ กปปส.มาตั้งแต่ต้น แต่ระยะแรกยังไม่ได้ออกมาประกาศตัวชัดเจน เนื่องจากอาจมีปัญหาด้านวินัยข้าราชการ แต่วันหนึ่งเมื่อท่านออกมาแสดงจุดยืนที่ชัดเจนอย่างนี้ เรียกว่าเป็นผลดีต่อการต่อสู้”
โดยเห็นได้ชัดคือ การต่อสู้ของบุคลากรทางการแพทย์ครั้งนี้ จะเริ่มตั้งแต่มีการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มโรงพยาบาลอำเภอ กลุ่มแพทย์ชนบท ตั้งแต่ติดป้ายคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และติดป้ายสนับสนุนการปฏิรูปการเลือกตั้ง
“แน่นอนว่ากลุ่มข้าราชการระดับกลาง ระดับพื้นที่นี่มีใจเอนเอียงไปกับมวลมหาประชาชนนานแล้ว และเมื่อปลัดกระทรวงออกมาแสดงตัวว่าอยู่เคียงข้าง ข้าราชการระดับกลางลงมาก็รู้สึกฮึกเหิม ดีใจ ว่าการต่อสู้ของเรามาถูกทางแล้ว”
จุดที่สำคัญคือ ความกังวลว่าจะถูกลงโทษทางวินัยของข้าราชการระดับต่างๆ ก็หมดไป โดยเฉพาะข้าราชการระดับสูง และระดับกลางๆ ที่ไม่กล้าเปิดตัว เช่นระดับอธิบดี ระดับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดต่างๆ ก็ไม่มีความกังวลเรื่องจะถูกลงโทษทางวินัยอีกต่อไป
สิ่งนี้ทำให้การต่อสู้หลอมเป็นองคาพยพเดียวกัน เป็นเอกภาพอย่างยิ่ง!
“ปลัดกระทรวงต่างๆ อย่าไปกลัว ตอนนี้รัฐบาลไม่ได้มีอำนาจอะไร การที่จะโยกย้ายใครก็ทำไม่ได้ เว้นแต่ต้องไปขออนุญาตจาก กกต. ซึ่ง กกต.ก็คงเห็นว่าการโยกย้ายที่ไม่มีเหตุผลเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำอยู่แล้ว” ศ.ดร.สมบัติกล่าว
ตอนนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่ข้าราชการที่ยึดมั่นกับผลประโยชน์ประเทศชาติ จะกล้าหาญออกมาประกาศจุดยืน
“บางคนคิดมากไปว่า เดี๋ยวเขากลับมาเป็นรัฐบาลแล้วเขาจะกลับมากลั่นแกล้ง อย่าไปกลัว เพราะเราเป็นข้าราชการของพระเจ้าอยู่หัว”
ข้าราชการต้องยืนหยัดกับความถูกต้อง อย่าไปก้มหัวให้กับนักการเมืองที่ไม่สุจริต ซึ่งตอนนี้ถึงเวลาที่จะออกมาต่อสู้แล้ว
นพ.เหรียญทองถูกข่มขู่-เสี่ยงชีวิตสู้
ขณะที่ฮีโร่คนที่สองคือ นพ.เหรียญทอง แน่นหนา
ศ.ดร.สมบัติกล่าวว่า กรณีของ นพ.เหรียญทอง ได้ลาออกจากข้าราชการแล้ว และตอนนี้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชน
สิ่งที่น่านับถือคือ เป็นคนที่มีจิตวิญญาณของความเป็นทหารเก่า กล่าวคือ มีความจงรักภักดีเป็นที่ตั้ง และทนเห็นคนที่จาบจ้วง ประสงค์ร้ายต่อสถาบันไม่ได้ ในที่สุดก็ตั้งองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน เพื่อหาเครือข่ายคนที่มีความเห็นเหมือนกันมาช่วยกัน
“เหตุที่เกิดคนอย่าง นพ.เหรียญทองขึ้น แสดงให้เห็นชัดเจนมากว่ากระบวนการกฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกฎหมายที่หมิ่นสถาบัน มาตรา 112 ตำรวจผู้ซึ่งควรจะเร่งรัดดำเนินการกับทุกฝ่ายอย่างไม่เลือกปฏิบัติก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่กลับอยู่ข้างรัฐบาล ซึ่งกลุ่มคนทำผิดกฎหมายมาตรา 112 ก็เป็นกลุ่มคนที่เชื่อมโยงกับรัฐบาล”
ความหวังที่จะเห็นตำรวจดำเนินการทางกฎหมายอย่างเข้มแข็งกลับไม่มี!
เหตุนี้คนอย่าง นพ.เหรียญทองจึงเกิดขึ้น และเกิดขึ้นจากความกล้าหาญอย่างมาก เหตุเพราะการไม่มีตำแหน่งข้าราชการให้กลั่นแกล้ง ไม่มีอะไรที่จะทำร้าย นพ.เหรียญทองได้ ดังนั้น เรื่องอันตรายที่ นพ.เหรียญทองจะต้องเจอคือการข่มขู่ คุกคามชีวิตทุกรูปแบบที่มากกว่า นพ.ณรงค์โดน
“ขนาดคุณหมอณรงค์ยังโดน M 79 ที่บ้าน แต่เชื่อเถอะว่าคุณหมอเหรียญทองจะโดนคุกคามความปลอดภัยมากกว่ามาก”
ดังนั้นคนที่ออกมายืนในจุดที่ นพ.เหรียญทองยืนอยู่ ต้องเรียกว่า เป็นความกล้าหาญอย่างมาก กล้าที่จะเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงเพื่อปกป้องรักษาสถาบันเบื้องสูงไว้ ถือเป็นการเสียสละอย่างสูงสุด
ถึงเวลาข้าราชการรวมพลังสู้
อย่างไรก็ดี เมื่อมีคนอย่าง นพ.ณรงค์ และมีคนอย่าง นพ.เหรียญทองแล้ว ก็กล่าวได้คำเดียวว่า
“พี่น้องที่เห็นด้วยกับทั้ง 2 ท่าน ต้องร่วมกันออกมาต่อสู้”
การรวมพลังเข้าต่อสู้เพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือต่อต้านรัฐบาลทุจริต ต่อต้านพวกหมิ่นสถาบัน ย่อมไปสู่ชัยชนะ
ชัยชนะของมวลมหาประชาชน!
“ข้าราชการมีศักดิ์ศรี การทำเพื่อประเทศชาติเป็นสิ่งที่ควรทำ และก็ถึงเวลาแล้วที่ข้าราชการจะต้องออกมาทำเพื่อบ้านเมือง เนื่องจากประเทศกำลังเกิดปัญหา ไม่มีการถ่วงดุลอำนาจ ก็ขอให้ข้าราชการออกมาทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าพินอบพิเทา มิเช่นนั้นจะเป็นปลัดไปทำไม เป็นอธิบดีไปทำไม หากมองแต่คนด้านบน ซึ่งไม่มีอะไร แต่ถ้ามองด้านล่าง จะมีประชาชนอยู่” คำกล่าวของ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ต่อกรณีถูกยิงระเบิด M 79 ที่บ้านพัก
เวลานี้ก็เหลือแต่รอให้ “ข้าราชการ” ตัดสินใจออกมาอยู่เคียงข้างประชาชน
โดยเฉพาะในเวลานี้ เวลาที่สำคัญยิ่ง!
“ตอนนี้สถานการณ์สุกงอมเต็มที่แล้ว คือศาลรัฐธรรมนูญใกล้ตัดสินคดีถวิล เปลี่ยนศรี และ ป.ป.ช.จะชี้มูลจำนำข้าว เป็นวันที่สังคมจะเห็นว่ารัฐบาลมีความผิดจริง ไม่เชื่อศาลแล้วจะเชื่อใครได้อีก” นพ.สุภัทรกล่าว
ดังนั้น ข้าราชการต้องเลิกกลัว และออกมายืนข้างความถูกต้อง ออกมาต่อสู้กับรัฐบาลทุจริต!
นับเป็นเวลา 6 เดือนแล้วของการออกมาต่อสู้กับอำนาจเผด็จการรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีรักษาการ ของกลุ่มมวลชน กปปส. นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
เป็นศึกการต่อสู้ทางการเมืองที่ยาวนาน และเป็นศึกที่ผู้คร่ำหวอดทางการเมืองต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่า เป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่การต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้เกิดจากภาคประชาชน เป็นการปฏิวัติโดยประชาชน
แต่การปฏิวัติโดยประชาชนนั้น ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก ยากเพราะประชาชนสู้ด้วยมือเปล่า ปราศจากอาวุธและการต่อสู้ของประชาชนไม่ว่าประชาชนจะออกมาแสดงพลังต่อต้านรัฐบาลมากถึง 5 ล้านคน แต่หากรัฐบาลยังเป็นรัฐบาลที่ไร้สำนึกรับผิดชอบทางการเมืองด้วยแล้ว การต่อสู้ทางการเมืองของภาคประชาชนยิ่งเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก
ไม่รวมถึงหน่วยงานดูแลความสงบให้กับบ้านเมือง อย่างองค์กรตำรวจ ที่มีพฤติกรรมเข้าข้างฝ่ายรัฐบาลอย่างชัดเจน หลายคนถึงกับเห็นประชาชนเป็นศัตรู และเลือกอยู่ข้าง พ.ต.ท.ทักษิณอย่างชัดเจน
ดังนั้นบ้านเมืองเราในวันนี้จึงอยู่ในภาวะอิหลักอิเหลื่อ หาทางออกไม่เจอ ฝ่ายใดจะชนะ ฝ่ายใดจะแพ้ เมื่อไม่มีการออกมาต่อสู้กันด้วยอาวุธแล้วย่อมวัดกำลังกันยากที่จะหาผู้ชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จ
หลายคนที่ออกมาต่อต้านรัฐบาล เมื่อระยะเวลายาวนานขึ้นก็เริ่มเบื่อเพราะมองไม่เห็นทางชนะ
แต่กลับได้เห็นความกล้าหาญของข้าราชการระดับปลัดกระทรวงที่ลุกขึ้นมาปลุกพลังข้าราชการทั้งประเทศให้ออกมาปฏิเสธอำนาจไม่ชอบธรรมของรัฐบาลรักษาการ พร้อมๆ กับการออกมาประกาศจัดการพวกหมิ่นสถาบันของ พล.ต.นายแพทย์เหรียญทอง แน่นหนา
และวันนี้เขาทั้งสองกลายเป็นฮีโร่ในใจมวลชนไปแล้ว!
2 ฮีโร่ในใจคนไทย
หนึ่งคือ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ออกตัวประกาศเป็นข้าราชการที่จะยืนเคียงข้างประชาชน สนับสนุนแนวทางการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ไม่หวั่นอำนาจนักการเมือง และที่ผ่านมาที่บ้าน นพ.ณรงค์ ก็โดนยิง M 79 เพื่อข่มขู่ กระทำการมุ่งหวังต่อชีวิต นพ.ณรงค์ ถึงที่บ้าน
อีกหนึ่งคือ นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ที่ประกาศตั้ง “องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน” กวาดล้างกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะรับไม่ได้ที่คนกลุ่มนี้กระทำการในสิ่งที่เรียกว่า “เลวร้ายกว่าสามัญชนกระทำต่อกันเสียอีก” และตั้งคำถามว่า “เราทอดทิ้ง โดดเดี่ยวพระเจ้าอยู่หัว และสถาบันพระมหากษัตริย์มานานเกินไปหรือไม่” ถึงเวลาแล้วที่จะกำจัดขยะแผ่นดิน ด้วยการร่วมเป็นเครือข่ายสืบค้นบุคคลที่กระทำความผิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และแนวร่วม เพื่อเอาตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
คุณหมอ 2 ท่านนี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์การต่อสู้ทางการเมืองแบบใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หมอณรงค์กล้าหาญ-ยืนหยัดสู้รัฐบาลทุจริต
“กรณีปลัดณรงค์ ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของระบบราชการไทย ปกติข้าราชการจะระมัดระวังตัวกับวิกฤตการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่จะเกี่ยวข้องกับสถานภาพของตนเอง ก็จะไม่เคยมีใครออกมาแสดงจุดยืนในการต่อต้านรัฐบาลมาก่อนเลย ปลัดณรงค์ถือว่าเป็นข้าราชการระดับสูงของไทยที่มีความกล้าหาญมาก” ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ที่ปรึกษาด้านวิชาการกลุ่ม กปปส.กล่าว
ยิ่งในสภาวะบ้านเมืองวิกฤตมากทั้งเรื่องของจริยธรรม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง ฯลฯ ขนาดนี้ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะมีข้าราชการโดยเฉพาะข้าราชการระดับสูงที่กล้าหาญเท่ากับ นพ.ณรงค์
ศ.ดร.สมบัติวิเคราะห์ว่า วันนี้ข้าราชการผู้ใหญ่ของทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานรู้ดีว่าวิกฤตของบ้านเมืองครั้งนี้กำลังส่งผลกระทบทางลบต่อบ้านเมืองอย่างไร แต่จะเห็นข้าราชการผู้ใหญ่ส่วนใหญ่มี 4 แบบที่ปรากฏให้เห็น
แบบที่หนึ่ง ข้าราชการผู้ใหญ่บางคนอาจจะได้ดิบได้ดีทางการเมือง ได้ตำแหน่งสูงเพราะระบบอุปถัมภ์ทางการเมือง ก็จะไม่กล้าออกมาต่อต้าน เพราะรู้สึกว่าจะเป็นผู้เนรคุณ
แบบที่สอง คนที่คิดว่าอย่างไรเสียเกาะอำนาจนักการเมือง ทำตามทั้งนโยบายและคำสั่ง โดยไม่ได้สนใจปัญหาบ้านเมือง เพราะคิดว่าจะเป็นการกระทำที่ทำให้ตัวเองมั่นคงทางอาชีพการงานมากขึ้น
แบบที่สาม ข้าราชการผู้ใหญ่ ถูกฝึกมาให้เอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ไม่แน่ใจว่าการแสดงตัวออกไปจะดีหรือไม่ดีกับตัวเอง
แบบที่สี่ แบบนี้แย่ที่สุด คือข้าราชการที่ไม่สนใจความถูกผิด แต่เลือกยืนข้างและแสดงตนรับใช้นักการเมืองอย่างชัดเจน เพราะเกี่ยวข้องกับตำแหน่งหน้าที่การงานของตัวเองในอนาคต
“คนที่ไม่สนใจความถูกผิดเลยนี่ถือว่าเลวร้ายมาก”
ศ.ดร.สมบัติกล่าวว่า กรณี นพ.ณรงค์ ถือว่าเป็นข้าราชการระดับผู้ใหญ่ที่เลือกยืนข้างความถูกต้อง ต่อต้านรัฐบาลโกง และปฏิเสธความรุนแรงทุกรูปแบบนั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นหลักการสากล และเป็นการกระทำของคนดีที่ต่อต้านรัฐบาลขี้โกง แต่รัฐบาลนี้กลับมีท่าทีเหมือนคนกินปูนร้อนท้อง บอกว่า นพ.ณรงค์เป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูของรัฐบาล แล้วยังมีท่าทีคุกคามปลัดกระทรวงสาธารณสุขอีก
“การกระทำของ นพ.ณรงค์ครั้งนี้ สะท้อนความรู้สึกนึกคิดของคนในวงการสาธารณสุขทั้งหมด โดยปกติบุคลากรด้านสาธารณสุขก็มีการเคลื่อนไหวต่อต้านความไม่เป็นธรรมไม่ถูกต้องอยู่แล้ว แต่เป็นการสู้แบบเป็นกลุ่มๆ แต่ไม่เคยมีผู้นำสูงสุดจากฝ่ายข้าราชการเข้าร่วม แสดงว่ารัฐบาลต้องมีปัญหาจริงๆ”
สำหรับการที่ข้าราชการผู้ใหญ่อย่าง นพ.ณรงค์ ออกมาประกาศตัวยืนหยัดสู้กับรัฐบาลครั้งนี้ ก็ยิ่งถือว่าเป็นความกล้าหาญยิ่ง เป็นแบบอย่างของข้าราชการที่ดี ที่ยึดมั่นกับความถูกต้อง โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ไม่มีข้าราชการผู้ใหญ่คนไหนยอมออกมาเป็นผู้นำ แสดงตัวอย่างชัดเจนเช่นนี้
“ข้าราชการระดับเล็กๆ ของกระทรวงพาณิชย์ออกมาแสดงตัวว่าสนับสนุนกลุ่ม กปปส. สุดท้ายกลับถูกสอบวินัย เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ข้าราชการส่วนใหญ่จึงต้องระมัดระวังตัวกันมาก แต่กรณีของปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นกรณีที่โดดเด่นที่ผู้นำกระทรวงออกมานำเอง บุคลากรที่มีใจอยู่แล้วก็พร้อมที่จะออกมา” ศ.ดร.สมบัติกล่าว
หมอชนบทหนุนสู้-องคาพยพสาธารณสุขรวมเป็นหนึ่ง
นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลา หนึ่งในแกนนำกลุ่มแพทย์ชนบท กล่าวเช่นเดียวกันว่า การออกมาเป็นผู้นำของปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีข้อดี คือทำให้การต่อสู้ของบุคลากรสาธารณสุขเป็นหนึ่งเดียว และมีพลังในการต่อสู้อย่างมาก
“หมอณรงค์ร่วมต่อสู้กับ กปปส.มาตั้งแต่ต้น แต่ระยะแรกยังไม่ได้ออกมาประกาศตัวชัดเจน เนื่องจากอาจมีปัญหาด้านวินัยข้าราชการ แต่วันหนึ่งเมื่อท่านออกมาแสดงจุดยืนที่ชัดเจนอย่างนี้ เรียกว่าเป็นผลดีต่อการต่อสู้”
โดยเห็นได้ชัดคือ การต่อสู้ของบุคลากรทางการแพทย์ครั้งนี้ จะเริ่มตั้งแต่มีการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มโรงพยาบาลอำเภอ กลุ่มแพทย์ชนบท ตั้งแต่ติดป้ายคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และติดป้ายสนับสนุนการปฏิรูปการเลือกตั้ง
“แน่นอนว่ากลุ่มข้าราชการระดับกลาง ระดับพื้นที่นี่มีใจเอนเอียงไปกับมวลมหาประชาชนนานแล้ว และเมื่อปลัดกระทรวงออกมาแสดงตัวว่าอยู่เคียงข้าง ข้าราชการระดับกลางลงมาก็รู้สึกฮึกเหิม ดีใจ ว่าการต่อสู้ของเรามาถูกทางแล้ว”
จุดที่สำคัญคือ ความกังวลว่าจะถูกลงโทษทางวินัยของข้าราชการระดับต่างๆ ก็หมดไป โดยเฉพาะข้าราชการระดับสูง และระดับกลางๆ ที่ไม่กล้าเปิดตัว เช่นระดับอธิบดี ระดับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดต่างๆ ก็ไม่มีความกังวลเรื่องจะถูกลงโทษทางวินัยอีกต่อไป
สิ่งนี้ทำให้การต่อสู้หลอมเป็นองคาพยพเดียวกัน เป็นเอกภาพอย่างยิ่ง!
“ปลัดกระทรวงต่างๆ อย่าไปกลัว ตอนนี้รัฐบาลไม่ได้มีอำนาจอะไร การที่จะโยกย้ายใครก็ทำไม่ได้ เว้นแต่ต้องไปขออนุญาตจาก กกต. ซึ่ง กกต.ก็คงเห็นว่าการโยกย้ายที่ไม่มีเหตุผลเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำอยู่แล้ว” ศ.ดร.สมบัติกล่าว
ตอนนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่ข้าราชการที่ยึดมั่นกับผลประโยชน์ประเทศชาติ จะกล้าหาญออกมาประกาศจุดยืน
“บางคนคิดมากไปว่า เดี๋ยวเขากลับมาเป็นรัฐบาลแล้วเขาจะกลับมากลั่นแกล้ง อย่าไปกลัว เพราะเราเป็นข้าราชการของพระเจ้าอยู่หัว”
ข้าราชการต้องยืนหยัดกับความถูกต้อง อย่าไปก้มหัวให้กับนักการเมืองที่ไม่สุจริต ซึ่งตอนนี้ถึงเวลาที่จะออกมาต่อสู้แล้ว
นพ.เหรียญทองถูกข่มขู่-เสี่ยงชีวิตสู้
ขณะที่ฮีโร่คนที่สองคือ นพ.เหรียญทอง แน่นหนา
ศ.ดร.สมบัติกล่าวว่า กรณีของ นพ.เหรียญทอง ได้ลาออกจากข้าราชการแล้ว และตอนนี้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชน
สิ่งที่น่านับถือคือ เป็นคนที่มีจิตวิญญาณของความเป็นทหารเก่า กล่าวคือ มีความจงรักภักดีเป็นที่ตั้ง และทนเห็นคนที่จาบจ้วง ประสงค์ร้ายต่อสถาบันไม่ได้ ในที่สุดก็ตั้งองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน เพื่อหาเครือข่ายคนที่มีความเห็นเหมือนกันมาช่วยกัน
“เหตุที่เกิดคนอย่าง นพ.เหรียญทองขึ้น แสดงให้เห็นชัดเจนมากว่ากระบวนการกฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกฎหมายที่หมิ่นสถาบัน มาตรา 112 ตำรวจผู้ซึ่งควรจะเร่งรัดดำเนินการกับทุกฝ่ายอย่างไม่เลือกปฏิบัติก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่กลับอยู่ข้างรัฐบาล ซึ่งกลุ่มคนทำผิดกฎหมายมาตรา 112 ก็เป็นกลุ่มคนที่เชื่อมโยงกับรัฐบาล”
ความหวังที่จะเห็นตำรวจดำเนินการทางกฎหมายอย่างเข้มแข็งกลับไม่มี!
เหตุนี้คนอย่าง นพ.เหรียญทองจึงเกิดขึ้น และเกิดขึ้นจากความกล้าหาญอย่างมาก เหตุเพราะการไม่มีตำแหน่งข้าราชการให้กลั่นแกล้ง ไม่มีอะไรที่จะทำร้าย นพ.เหรียญทองได้ ดังนั้น เรื่องอันตรายที่ นพ.เหรียญทองจะต้องเจอคือการข่มขู่ คุกคามชีวิตทุกรูปแบบที่มากกว่า นพ.ณรงค์โดน
“ขนาดคุณหมอณรงค์ยังโดน M 79 ที่บ้าน แต่เชื่อเถอะว่าคุณหมอเหรียญทองจะโดนคุกคามความปลอดภัยมากกว่ามาก”
ดังนั้นคนที่ออกมายืนในจุดที่ นพ.เหรียญทองยืนอยู่ ต้องเรียกว่า เป็นความกล้าหาญอย่างมาก กล้าที่จะเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงเพื่อปกป้องรักษาสถาบันเบื้องสูงไว้ ถือเป็นการเสียสละอย่างสูงสุด
ถึงเวลาข้าราชการรวมพลังสู้
อย่างไรก็ดี เมื่อมีคนอย่าง นพ.ณรงค์ และมีคนอย่าง นพ.เหรียญทองแล้ว ก็กล่าวได้คำเดียวว่า
“พี่น้องที่เห็นด้วยกับทั้ง 2 ท่าน ต้องร่วมกันออกมาต่อสู้”
การรวมพลังเข้าต่อสู้เพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือต่อต้านรัฐบาลทุจริต ต่อต้านพวกหมิ่นสถาบัน ย่อมไปสู่ชัยชนะ
ชัยชนะของมวลมหาประชาชน!
“ข้าราชการมีศักดิ์ศรี การทำเพื่อประเทศชาติเป็นสิ่งที่ควรทำ และก็ถึงเวลาแล้วที่ข้าราชการจะต้องออกมาทำเพื่อบ้านเมือง เนื่องจากประเทศกำลังเกิดปัญหา ไม่มีการถ่วงดุลอำนาจ ก็ขอให้ข้าราชการออกมาทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าพินอบพิเทา มิเช่นนั้นจะเป็นปลัดไปทำไม เป็นอธิบดีไปทำไม หากมองแต่คนด้านบน ซึ่งไม่มีอะไร แต่ถ้ามองด้านล่าง จะมีประชาชนอยู่” คำกล่าวของ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ต่อกรณีถูกยิงระเบิด M 79 ที่บ้านพัก
เวลานี้ก็เหลือแต่รอให้ “ข้าราชการ” ตัดสินใจออกมาอยู่เคียงข้างประชาชน
โดยเฉพาะในเวลานี้ เวลาที่สำคัญยิ่ง!
“ตอนนี้สถานการณ์สุกงอมเต็มที่แล้ว คือศาลรัฐธรรมนูญใกล้ตัดสินคดีถวิล เปลี่ยนศรี และ ป.ป.ช.จะชี้มูลจำนำข้าว เป็นวันที่สังคมจะเห็นว่ารัฐบาลมีความผิดจริง ไม่เชื่อศาลแล้วจะเชื่อใครได้อีก” นพ.สุภัทรกล่าว
ดังนั้น ข้าราชการต้องเลิกกลัว และออกมายืนข้างความถูกต้อง ออกมาต่อสู้กับรัฐบาลทุจริต!