เบื้องลึก “ยิ่งลักษณ์” หลังชนฝาต้องเลือกตั้ง 2 ก.พ.เท่านั้น หวังได้อำนาจตามกฎหมายกลับคืน เร่งจัดการทุกปัญหาแบบเบ็ดเสร็จ ขึ้นบัญชี ขรก.หัวแข็ง จัดการองค์กรอิสระเจ้าปัญหา ขณะที่ความจริงวันนี้ “ยิ่งลักษณ์-ส.ส.เพื่อไทย” หวั่นไหวกลัวพรรคแตก ถูกขุดรากถอนโคน หาก ปชป.สอย เตรียมดัน “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ขึ้นแท่นทันที ด้านสมาชิกเพื่อไทยตะลึงอารมณ์ “ปู” คล้ายคนเป็นโรค “ไบโพลาร์”!
ไม่ว่ามวลมหาประชาชน ไม่ว่าแกนนำ กปปส. ไม่ว่าภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นภาควิชาการ และไม่ว่าจะเป็น กกต.ที่ล่าสุดต่างมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า การเลือกตั้งควรจะมีการเลื่อนออกไปก่อน เพราะวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ ประเทศไทยก็ยังไม่พร้อมที่จะมีการเลือกตั้ง และถึงแม้ดันทุรังให้มีการเลือกตั้ง ก็อาจจะเสียงบประมาณแผ่นดิน 3,800 กว่าล้านบาทไปโดยเปล่าประโยชน์เพราะอุปสรรคจำนวนมาก
เตือนแล้วเตือนอีก รัฐบาลก็ไม่ฟัง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีเองก็อ้างว่าอย่างไรเสีย “ดิฉันต้องอยู่เพื่อรักษาประชาธิปไตย”
อะไรคือปมสำคัญที่ทำให้ยิ่งลักษณ์ต้องกอดประชาธิปไตยในรูปแบบที่เธอต้องการไว้และยืนกรานที่จะต้องเลือกตั้งวันเดียวเท่านั้นคือ 2 กุมภาพันธ์ 2557 โดยไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะวิกฤตเพียงไร?
หวังใช้คะแนนเสียง “การันตี” ความชอบธรรม
แหล่งข่าวนักการเมืองอาวุโสในพรรคเพื่อไทย เปิดเผยกับ “ทีม Special scoop หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน” ว่า มีสาเหตุเดียวเท่านั้น คือตอนนี้พรรคเพื่อไทยไม่ได้มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ หลังจากที่มีการประกาศยุบสภา ทำให้อำนาจใหญ่หลุดจากมือไป และต้องการได้อำนาจนั้นคืนมาให้เร็วที่สุด
เพราะฉะนั้น 2 ก.พ. 2557 คือคำตอบเดียวเท่านั้น
“เราต้องการกลับมาเป็นรัฐบาลด้วยการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งจะทำให้พรรคเพื่อไทยมีความชอบธรรมที่จะกลับเข้าสู่อำนาจรัฐดีที่สุดเพราะมาจากเสียงประชาชน มันเอาไปอ้างได้ที่จะทำอะไรต่างๆ”
โดยเฉพาะการมีอำนาจรัฐจะทำให้สามารถแก้ปัญหาทางการเมืองในเวลานี้ง่ายกว่าการเป็นรัฐบาลรักษาการ รวมถึงการอนุมัติงบประมาณต่างๆ จะดำเนินการได้ง่าย
ยกตัวอย่างการแก้ไขปัญหาโครงการจำนำข้าวที่เกษตรกรไม่ได้เงิน จนเป็นเหตุให้มาเดินขบวนปิดถนนอยู่ขณะนี้ และกลายเป็นหอกข้างแคร่มาขับไล่รักษาการนายกฯ และพรรคเพื่อไทยได้โดยง่าย
“เราไม่มีอำนาจอนุมัติงบประมาณ ทุกอย่างต้องผ่าน กกต. ตัดสินใจเองไม่ได้ การแก้ปัญหาจึงล่าช้า ตอนนี้ถ้าเราเป็นรัฐบาลมีอำนาจตามกฎหมายชัดเจนก็จะจัดการได้ง่าย”
ยิ่งลักษณ์กำลังพังเพราะจำนำข้าว
นอกจากนี้การเลื่อนเลือกตั้งออกไป มีแต่จะส่งผลเสียทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์ต้องเจอปัญหาอีกมากที่ควบคุมไม่ได้ โดยเฉพาะคดีที่อยู่ในการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งการที่นายวิชา มหาคุณ โฆษก ป.ป.ช.ออกมาให้สัมภาษณ์ก็เป็นสิ่งที่ชัดเจนว่า นางสาวยิ่งลักษณ์จะหลุดพ้นคดีนี้ได้ยาก ซึ่งช่วงเดียวกันนี้ ยังมีกระแสโหวตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำที่เลวที่สุดออกมาอีก
"อนุกรรมการไต่สวนมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า กรณีมีการอ้างว่าการทำจีทูจีกับจีน ไม่ใช่กรณีซื้อขายตามสัญญาแบบรัฐต่อรัฐ ไม่มีการทำสัญญาระหว่างรัฐต่อรัฐและไม่มีการส่งข้าวออกนอกราชอาณาจักรจริงตามที่กล่าวอ้าง รวมไปถึงไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นตัวแทนในการค้าข้าวอย่างมีอำนาจเต็มจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ดังนั้น ป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นชอบให้แจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลข้างต้น และบุคคลที่เกี่ยวข้องรวม 15 ราย และบริษัท จีเอสเอสจี บริษัท ไห่หนาน และบุคคลที่อ้างเป็นกรรมการผู้จัดการตัวแทนของบริษัทนี้ รวมถึงตัวแทนคนไทยที่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย" นายวิชา กล่าว ในการแถลงข่าวของ ป.ป.ช. วันที่ 16 มกราคม 2557
โดยในส่วนของนางสาวยิ่งลักษณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์สั่งให้คณะอนุกรรมการไต่สวนดำเนินการกับ นางสาวยิ่งลักษณ์ ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เนื่องจากโครงการจำนำข้าวถือเป็นนโยบายแห่งรัฐ และ ป.ป.ช.เคยส่งหนังสือเตือนเรื่องความไม่โปร่งใสในการดำเนินโครงการไปแล้ว แต่นางสาวยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกฯ ไม่เคยดำเนินการยับยั้งความเสียหาย จึงอาจเป็นมูลความผิดทางอาญาตามกฎหมายของ ป.ป.ช.ได้ ซึ่งอนุกรรมการไต่สวนเห็นว่ามีเหตุให้ควรสงสัยตามมาตรา 66 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตว่า การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ในฐานะประธาน กขช.ได้ทราบถึงข้อท้วงติง แต่ไม่ได้ดำเนินการยับยั้งจนเกิดความเสียหายขึ้น ถือเป็นกรณีอาจมีมูลความผิด ป.อาญา และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
นับว่าไม่ใช่ผลดีกับพรรคเพื่อไทย และยิ่งไม่ใช่ผลดีกับคนในตระกูลชินวัตร
ยิ่งปล่อยให้มีการต่อต้านรัฐบาลนานวันมากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้รัฐบาลเสียหายมากขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณจึงต้องการให้พรรคเพื่อไทยกลับเข้าสู่อำนาจรัฐให้เร็วที่สุด
“ต้องการอำนาจรัฐในระยะสั้นนี้เท่านั้น ความชอบธรรมที่มาจากกติกา หากได้ ส.ส.กลับมาเยอะ ก็เอามาอ้างได้ว่ามีความชอบธรรม เป็นหนทางเดียวของคุณยิ่งลักษณ์เวลานี้”
เลื่อนเลือกตั้ง ยิ่งลักษณ์มีแต่พังกับพัง!
ยิ่งลักษณ์พังเพราะข้าว ส่งไม้ต่อสมชายนั่งนายกฯ
สถานการณ์ของยิ่งลักษณ์ในเวลานี้ จึงเรียกว่าเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากยิ่ง และเป็นการคาดการณ์ผิดพลาด ตั้งแต่การประกาศยุบสภา ด้วยหวังว่าจะยุติการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. แต่กลับเป็นการยกระดับให้มวลชนเข้าร่วมกับ กปปส.มากขึ้น ส่วนการจะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือการจัดการม็อบด้วยความรุนแรงก็ทำไม่ได้สะดวก เพราะทหารก็ไม่เอาด้วยกับรัฐบาลหากมีการทำร้ายประชาชน
แม้กระทั่งล่าสุดที่ พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ ได้ยอมรับกับ กมธ.ศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ในวันที่ 16 มกราคม ที่ผ่านมา ว่าไม่สามารถควบคุมตำรวจชั้นผู้น้อยไม่ให้พกปืนประจำกายเข้าไปในสถานที่ควบคุมฝูงชนได้ ก็เป็นเรื่องที่ชัดแล้วว่ามีแนวโน้มจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 17 มกราคม 2557 ที่มีเหตุคนร้ายปาระเบิดที่ถนนบรรทัดทอง ทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก และยังมีเหตุประทัดยักษ์หรือระเบิดป่วนตามจุดต่างๆ ของผู้ชุมนุม จนกระทั่ง กปปส.ต้องประกาศเสริมการ์ดในหลายๆ จุดโดยเฉพาะจุดแจ้งวัฒนะที่มีหลวงปู่พุทธอิสระ เป็นแกนนำ
เหตุการณ์ป่วนจุดชุมนุมดังกล่าวยิ่งจะเป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมที่ต่อต้านความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลอยู่แล้ว ยิ่งโกรธแค้นรัฐบาลมากขึ้น และเป็นผลเสียไปที่รักษาการรัฐบาลยิ่งลักษณ์โดยตรง
อย่างไรก็ดี ส.ส.พรรคเพื่อไทยกล่าวยอมรับว่า การประเมินสถานการณ์จากพรรคเพื่อไทยเห็นว่าม็อบ กปปส.นั้นไม่มีทางที่จะเอาชนะฝ่ายรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยได้
แต่พรรคเพื่อไทยจะพ่ายแพ้จากองค์กรอิสระอย่างแน่นอน เพราะสัญญาณจาก ป.ป.ช.ชัดเจนยิ่ง
“คดีใน ป.ป.ช.ในส่วนของคุณยิ่งลักษณ์ถือเป็นข่าวร้าย เพราะถ้าจับความจากที่คุณวิชา มหาคุณ พูดจะเห็นได้ชัดว่าการไต่สวนคุณยิ่งลักษณ์นั้นอยู่บนพื้นฐานว่ามีความผิด เพราะ G-to-G นั้นไม่มีข้อมูลว่าเกิดขึ้นจริง เพียงแต่ต้องให้โอกาสคุณยิ่งลักษณ์ไปชี้แจงตามขั้นตอนเท่านั้น ตอนนี้ก็เหมือนได้แค่ซื้อเวลา”
ดังนั้น พรรคเพื่อไทยประเมินว่า “นางสาวยิ่งลักษณ์” ไม่มีทางรอดจากคดีรับจำนำข้าวแน่นอน!
และนี่อาจเป็นจุดจบ และจุดระส่ำที่สุดของพรรคเพื่อไทยด้วย
“ส.ส.ของพรรคหวั่นไหวมาก โดยเฉพาะตอนที่ไปรับทราบคดีที่ ป.ป.ช. โอกาสพรรคแตกมีสูงมาก สูงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เรากำลังถูกเล่นงานหนักมาก ถูกเล่นงานอย่างที่เรียกว่าถอนรากถอนโคน”
เพราะตอนนี้ ส.ส.ทุกคนกำลังรู้สึกแล้วว่า ไม่มีทางไปต่อแล้ว
“หัวขบวนก็โดนเล่นงาน คนกลางๆ ก็โดน ส.ส.ทุกคนก็กำลังจะหนีไม่พ้นด้วย ตอนนี้กำลังใจของ ส.ส.เหลือน้อยมาก”
แถมรู้กันดีว่าคนต่อไปที่ต้องถูกเชือด! คือ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในมาตรา 157
“ยิ่งคุณยิ่งลักษณ์ไม่น่ารอดจากคดี ป.ป.ช. เราจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์เกิดขึ้นให้ได้ และหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดคุณยิ่งลักษณ์ในช่วงนี้พอดี ก็เดาว่าคนที่จะขึ้นเป็นผู้นำให้พรรคต่อคือคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่ก็ต้องดูสถานการณ์ตอนนั้นด้วย เพราะกระแสมวลชนที่แรงอาจทำให้เกิดการต่อต้านคนตระกูลชินวัตรอย่างหนักจนเกิดความเสียหายทางการเมืองได้ ซึ่งท่านทักษิณอาจจะเปลี่ยนใจให้คนอื่นขึ้นแทน เพราะยังมีคนที่ไว้ใจได้อีกหลายคน”
แต่ก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร เพราะขณะนี้ ส.ส.ของพรรคก็หวั่นไหวอย่างมากที่จะอยู่พรรคเพื่อไทยต่อไป นับเป็นปัญหาใหญ่ที่นางสาวยิ่งลักษณ์กำลังเผชิญหน้าอยู่ด้วย
ความกดดันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นมวลชนต่อต้านรัฐบาลที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ภาพการก่อความรุนแรงโดยตำรวจที่ผู้มีอำนาจคุมไม่อยู่ การไม่สามารถเข้าปฏิบัติงานในสถานที่ราชการสำคัญๆได้ ตัวเองก็กำลังจะโดนคดีความ ขณะที่พี่ชายก็ไม่ยอมให้ลาออกเพื่อรักษาสภาพของความเป็นรัฐบาลรักษาการไปจนกว่าจะเลือกตั้งกลับมาถืออำนาจรัฐได้สำเร็จ
สถานการณ์กดดันนางสาวยิ่งลักษณ์ไปเต็มๆ
จนเวลานี้ข่าวลือเรื่องนางสาวยิ่งลักษณ์มีอาการคล้ายคนเป็นโรคไบโพลาร์ (Bipolar disorder) หรือโรคอารมณ์ 2 ขั้วนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ
“คุณยิ่งลักษณ์มีหลายบุคลิกมากตอนนี้ เวลาพูดออกทีวีจะเป็นอย่างหนึ่ง แต่ในเวลาประชุมพรรค บางทีก็ร้องไห้ บางทีก็ตัดพ้อ แต่หลายครั้งก็ตวาดออกมาในที่ประชุม น่าสงสาร เพราะเหมือนคนที่เป็นคุณหนูมานาน พอมาเจอสถานการณ์ที่รุนแรงขนาดนี้ก็เหมือนคนที่รับมือไม่ได้” อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เล่าให้ฟัง
พท.ได้อำนาจจัดการพวก ขรก.กบฏ
ด้าน นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา วิเคราะห์เช่นเดียวกันว่า การตัดสินใจยุบสภาฯของนางสาวยิ่งลักษณ์ในวันที่ 9 ธันวาคม 2556 เพื่อต้องการลดระดับการชุมนุม และลดจำนวนผู้ชุมนุมนั้นเป็นการตัดสินใจที่ “พลาด” ของนางสาวยิ่งลักษณ์
เพราะ การยุบสภา หมายความถึงการทำให้ ส.ส.ทุกคนของพรรคหมดบทบาทลงในทันที เมื่อ ส.ส.ของพรรคหมดบทบาท คนที่จะมาช่วยรัฐบาล หรือช่วยนางสาวยิ่งลักษณ์ในการข่มขู่ โจมตีคู่ต่อสู้ทางการเมือง โดยเฉพาะบทบาทในการเข้าชื่อถอดถอนองค์กรอิสระ หรือแม้กระทั่งอำนาจรัฐที่จะทำการแต่งตั้งโยกย้ายจึงไม่มี
“ตอนนี้เขาอยากโยกย้ายทหาร และอยากย้ายปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปรากฏว่าการเป็นรัฐบาลรักษาการทำให้เขาทำอย่างนั้นไม่ได้ ทำให้เขาอึดอัด และต้องการกลับเข้าสู่อำนาจอย่างเร็วที่สุดเท่านั้น”
วันนี้ต้องยอมรับว่านางสาวยิ่งลักษณ์ต้องรับบทหนักเพียงคนเดียวเท่านั้น
กลไกของสภาผู้แทนราษฎรที่เคยปกป้องก็ไม่สามารถปกป้องอะไรได้อีก
นอกจากนี้ก็เชื่อเช่นเดียวกันว่า การเลือกตั้งที่รัฐบาลต้องการให้เกิดขึ้นให้ได้ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้นั้น เพราะต้องการกลับเข้าสู่อำนาจให้เร็วที่สุด โดยมีประชาชนให้การรับรอง เป็นทางรอดทางเดียวของพรรคเพื่อไทยในเวลานี้ เป็นการฟอกตัวเองให้กลับเข้าสู่ฐานอำนาจเท่านั้น โดยไม่สนใจว่าผู้ชุมนุมจะขยายตัวออกไปมากเพียงใด ไม่สนใจว่าจะเกิดเหตุอะไรกับบ้านเมือง ไม่สนใจด้วยว่าการเลือกตั้งนั้นจะใช้เงินจำนวนมาก และเลือกตั้งไปแล้วอาจไม่ได้ทำให้สภาผู้แทนราษฎรเกิดขึ้นได้จริง
เรียกว่าเลือกไปก่อน ไปตายเอาดาบหน้า!
“เขาต้องรีบเลือกตั้ง โรคแทรกซ้อนมีเยอะ โดยเฉพาะหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด หรือบางเรื่องอาจเข้ากระบวนการถอดถอนจากวุฒิสภา โรคแทรกเยอะ”
ทั้งๆ ที่การเลื่อนเลือกตั้งทำได้ไม่ยาก
“ตอนนี้มีเหตุสมบูรณ์ครบถ้วนที่จะทำเรื่องขอเลื่อนการเลือกตั้งออกไปได้ ทั้งการที่มีผู้คัดค้านจำนวนมาก ไม่ยุติธรรม เลือกวันเดียวไม่ได้ ฯลฯ ซึ่งรวมกันหลายๆ เหตุผล ชัดเจนว่าสามารถทำเรื่องขอเปลี่ยนแปลงกฤษฎีกาเลื่อนวันเลือกตั้งได้ และผู้มีอำนาจพิจารณาร่วมกับรัฐบาลคือ กกต. ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเสนอให้เลื่อนเลือกตั้งออกไปก่อน แต่รัฐบาลไม่สนใจ ไม่ตอบรับก็เลยเป็นปัญหา”
อย่างไรก็ดี สุดท้ายสถานการณ์ทางการเมืองจะนำไปสู่การเลือกตั้งหรือไม่ ก็มีปัจจัย 2 ประการ ประการแรกคือการเลือกตั้งป่วนมาก วุ่นวายมาก จนแม้ดันทุรังเลือกตั้งไปก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และประการที่สอง อาจเกิดเหตุรุนแรงทางการเมืองในระดับที่บ้านเมืองร้อนเป็นไฟจนเลือกตั้งไม่ได้ตามที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร 1 ใน 5 เสือ กกต.พูดว่า
“นายกฯ เลือกสงคราม” วันนี้คงปฏิเสธไม่ได้แล้ว!