ข่าวที่น่าสลดและชี้ให้เห็นถึงความไม่เที่ยงแท้ในชีวิตเส้นทางวงการบันเทิงได้เป็นอย่างดี หลังพบ อดีตนางแบบชื่อดังระดับโลก “ยุ้ย-รจนา เพชรกันหา” บริเวณถนนเพชรเกษม ในสภาพเนื้อตัวมอมแมม พูดจาวกวนเหมือนคนสติไม่อยู่กับร่องกับรอย ด้วยผลพวงจากการใช้ยาเสพติดในอดีตทำลายภาพความงามเฉิดฉายของเธอในอดีตไปเสียหมดสิ้นในวันนี้
อดีตดาวดัง “ยุ้ย-รจนา”
นางแบบชื่อดังเมื่อราวสิบกว่าปีที่แล้วคงต้องยกให้ “ยุ้ย-รจนา เพชรกันหา” สาวสวยระดับโลกที่เบื้องหลังก่อนโลดแล่นเข้าวงการมายา เธอเป็นเพียงเด็กล้างจานที่ร้านอาหารของญาติแถววัดธาตุทอง อดีตในวัยเยาว์ของเธอไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเหมือนนางแบบในยุคสมัยนี้เท่าไหร่นัก หลังจบ ป.6 ยุ้ยเดินทางออกจากบ้านที่จังหวัดอุบลราชธานี มุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานคร และด้วยความสวยคมสะดุดตาแมวมอง เธอจึงถูกชักชวนเข้าสู่วงการนางแบบในปีพ.ศ.2537 ด้วยการประกวดอีลิต ซูเปอร์ โมเดล ออฟ ไทยแลนด์ 1994 (Elite Super Model of Thailand 1994) และได้รับรางวัลชนะเลิศ พร้อมทั้งได้เซ็นสัญญากับเอเยนซี่นางแบบเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ กลายเป็นนางแบบไทยที่ไปโลดแล่นอยู่ในวงการแฟชั่นระดับโลก มีชื่อเสียงโด่งดังในต่างแดน
หลังจากนั้นดูเหมือนชีวิตของเธอไปได้สวย เป็นนางแบบที่ต่างชาติให้การยอมรับ ได้ถ่ายปกนิตยสารโว้ก ฉบับเอเชีย ร่วมเดินแบบแฟชั่นในต่างประเทศทั้งฝรั่งเศส, อิตาลี, สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ติดอันดับ 1 ใน 12 ซูเปอร์โมเดลโลก หลายสินค้าเลือกให้เธอเป็นนางแบบโฆษณาสินค้า รวมไปถึงผลงานที่สร้างชื่อเสียงเป็นอย่างมากของยุ้ย-รจนาคือการเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับน้ำหอมยี่ห้อดัง “ชาแนล” (Chanel) และยังเคยเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์ The Fifth Element (1997) กล่าวขานกันว่านางแบบสายเลือดไทยแท้คนนี้สามารถทำรายได้ถึงปีละ 50 ล้านบาท!!
แต่แล้วชีวิตบนพรมแดงของเธอก็สะดุดลง หลังชีวิตเข้าไปเกี่ยวพันกับสุราและยาเสพติด ยุ้ยยอมรับว่าเธอเริ่มทำความรู้จักกับสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่อายุ 20 ปี และชีวิตก็ยิ่งเป๋เมื่อติดสุราอย่างหนักจนเสียการเสียงาน งานเริ่มหดถดถอยจนถูกฉีกสัญญาทิ้ง และต้องเดินทางกลับประเทศไทยในปี พ.ศ. 2545 หลังจากใช้ชีวิตเป็นนางแบบในต่างประเทศ 8 ปี จากนั้นชีวิตดาวเด่นของยุ้ย-รจนา ก็กลับลงมาสู่ผืนดิน ต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ มีเงินใช้จ่ายเพียงวันละ 100 บาทเท่านั้น รวมถึงตกเป็นข่าวทะเลาะวิวาทกับแม่และสามีอีกด้วย แต่โชคก็ยังเข้าข้างเธอเมื่อพอได้รับโอกาสทำงานอยู่บ้าง เริ่มปรากฏตัวผ่านสื่อมากขึ้น ซึ่งในปี 2551 เธอได้ให้สัมภาษณ์ยอมรับในชีวิตตกอับกับทางเอเอสทีวี ผู้จัดการว่า
“ที่ชีวิตเป็นแบบนี้ยุ้ยไม่โทษใครหรอกค่ะ ยุ้ยคิดว่าเป็นเพราะเราทำตัวเอง คือ ถ้าเกิดมีสติก็คงไม่พลาดแบบนี้ คือยุ้ยติดนิสัยอิสระมาเยอะ ถ้าย้อนเวลาได้ยุ้ยอยากแก้ไขเรื่องยาเสพติดนี่แหละ ถ้าเราใจแข็งไม่อยากลอง ชีวิตก็คงไม่เป็นแบบนี้ เคยคิดสั้นทำร้ายตัวเองหลายครั้ง มีครั้งนึงกระโดดบ้านจากชั้น 2 ลงมา แต่โชคดีไม่เป็นอะไรมาก”
มาจนถึงปี 2553 ยุ้ย-รจนา ได้กลับมาสลัดผ้าถ่ายแบบอีกครั้งให้กับ โฟโต้อัลบั้ม “ชุ่มฉ่ำหรรษา” รวมถึงเรียกความทรงจำจากผู้คนผ่านรายการคนค้นฅน ในตอนที่ชื่อว่า วันที่ดาวไร้แสง (ออกอากาศเมื่อวันอังคารที่ 4 พ.ค.2553) ส่วนในปี 2554 ยุ้ย-รจนา กลับมาปรากฏบนหน้าปกนิตยสาร ทัช แมกกาซีน (TOUCH MAGAZINE) ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ และได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการ “เช้าดูวู้ดดี้” ด้วย เมื่อลองไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ของอดีตนางแบบดัง ยิ่งเห็นว่าชีวิตของเธอเป็นกราฟขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวฮือฮาและก็ซาลงไป หลายครั้งที่แนวโน้มชีวิตของเธอเริ่มพอจะดีขึ้น แต่ผลพวงของการเล่นยาในอดีตก็กลับมาทำร้ายเธอซ้ำๆ ร่ำไป
อุทาหรณ์ ฤทธิ์ยาเสพติด
สำหรับชีวิตที่พลิกผันอย่างรวดเร็ว อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเธอดับวูบ ด้วยความไม่รู้ประสีประสา จู่ๆ วันหนึ่งชีวิตพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นนางแบบระดับโลกที่ใครๆ รู้จัก มีชีวิตหรูหราอู้ฟู่ จนได้มาพบเจอกับยาเสพติด ทำชีวิตดิ่งเหวดังที่เห็นในวันนี้ ยุ้ย-รจนา ในวัย 37 ปี จึงไม่ต่างจากเรือที่ไร้หางเสือ ไร้ทิศทางและที่พักพิง
“ที่เข้ามากรุงเทพฯ เพราะไม่สบายหนัก เป็นโรคสมองหลั่งสารอะไรบางอย่างไม่เท่ากัน เวลาเศร้าก็เศร้าสุดๆ เวลาดีใจก็ดีใจสุดๆ ตอนนี้รู้สึกแย่ที่สุด คิดว่าตอนนี้ตัวเองไม่ใช่คน คิดว่าเป็นปอบ กลัวคนมาทำร้ายเหมือนกัน เพราะเราเป็นคนเร่ร่อน ต้องย้ายที่ย้ายทางบ่อยๆ เดินทางบ่อยก็กลัว เหนื่อยไม่ได้หลับไม่ได้นอน นี่ไม่ได้นอนมา 4 คืนแล้ว” อดีตนางแบบสาวกล่าว
ทั้งนี้ ทางทีมงาน ASTV ผู้จัดการ Live ได้ติดต่อไปยังคุณมีมี่ หนึ่งในลูกศิษย์ที่สนิทสนมของยุ้ย-รจนา โดยให้ช่วยลำดับเหตุการณ์ในช่วงหลังจากปี 2554 ที่เธอหวนกลับวงการทั้งออกรายการโทรทัศน์ ถ่ายปกนิตยสาร แต่เหมือนมรสุมของยุ้ย-รจนาก็ยังไม่หมดไป เพราะจากนั้นไม่นานก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เธอถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งครั้งนั้นมีการปิดข่าว เนื่องด้วยจะมีผลกระทบต่อตัวอดีตนางแบบ จากนั้นเธอก็กลับมารักษาตัวที่บ้านในจังหวัดมหาสารคาม ก่อนจะมีปัญหาทำให้หนีออกจากบ้านและเป็นเหตุให้ต้องถูกตำรวจพากลับมาโรงพยาบาลเป็นครั้งที่สอง
“พอทราบข่าวก็แปลกใจว่าไปเอาข่าวมาจากไหน ข่าวนี้มันนานแล้วนะ เพราะเหตุการณ์นี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งนึง พวกมี่ก็พยายามจะปิดข่าวนี้ แล้ววันที่มีข่าวมี่ก็ยุ่งทำงานทั้งวัน พอมาดูอีกทีก็อ้าว ข่าวนี้มันจริง เราก็ตกใจ เพราะล่าสุดที่คุยกับพี่ยุ้ย ตอนนั้นแกอยู่ต่างจังหวัดก็ยังคุยกันอยู่เลยว่ามาเยี่ยมพี่ยุ้ยมั้ย”
“ขอยืนยันเลยค่ะ ว่าพี่ยุ้ยไม่ได้เสพยา เลิกยาแล้วโดยสิ้นเชิง โรคที่พี่ยุ้ยเป็นตอนนี้ (Bipolar Disorder) เป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษา กินยาอย่างต่อเนื่อง แล้วพี่ยุ้ยไม่มีเงิน ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งก็เลยอาจไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง อาการก็เลยกำเริบขึ้นมา ซึ่งแกอาจจะเครียดด้วยที่ไปอยู่ต่างจังหวัด ไม่รู้จักใคร
ตอนที่เข้าโรงพยาบาลรอบแรก คุณหมอก็ติดต่อประสานให้คุณพ่อพาพี่ยุ้ยไปอยู่ด้วย คุณพ่อเค้าก็พาไปอยู่ที่จ.มหาสารคาม แต่คุณพ่อมาทำงานที่กรุงเทพฯ ตรงนี้อาจจะเป็นเพราะทางญาติฝ่ายพ่อ ไม่ได้ต้อนรับพี่ยุ้ยเท่าไหร่ คือหลายคนก็คงคิดว่าโตแล้วควรดูแลตัวเองได้แล้ว จากตรงนี้พี่ยุ้ยก็เลยคิดกระตือรือร้นที่จะขึ้นมาหางานที่กรุงเทพฯ ซึ่งพี่ยุ้ยอาจจะเครียด ที่ไม่มีเงินเลย ไม่มีงานเลย ก็เลยปรากฏออกมาเป็นข่าว”
นอกจากนั้นแหล่งข่าวยังระบุอีกด้วยว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่ยุ้ย-รจนา ตัดสินใจเดินหน้าเข้าสู่ทางธรรมเพื่อหวังให้ชีวิตที่เป็นอยู่ดีขึ้น
“แล้วช่วงปีสองปี (หลังปี 2554) ที่พี่ยุ้ยหายไปคือ พอมีงานตอนนั้นก็มีเงินมากพอที่จะใช้รักษา แกก็เลยตัดสินใจปฏิบัติธรรม ตอนเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว ที่อ.ราศรีไศล จ.ศรีษะเกษ ก็นานพอสมควร ประมาณเดือนสองเดือน แล้วพอเดือนเมษาฯ ก็มาถ่ายปกนิตยสารสกุลไทย แล้วก็ถ่ายแบบเครื่องเพชร ให้ร้านเพชรที่ขอนแก่น เค้าเป็นแฟนคลับก็ให้งานพี่ยุ้ย จากนั้นแกก็โดนโกงเงิน เพราะตอนนั้นมีป้าคนนึงจะตามไปทำงานกับแก จะจี้เอาเงินก่อนตลอดเวลา ซึ่งข่าวที่โดนโกงตังค์เนี่ยไม่เคยได้ออกข่าวเลย ว่าแกโดนอะไรมาบ้าง
อีกครั้งนึง แกโดนหลอกไปทำงานที่ไหนก็ไม่รู้ เราก็ไม่ได้กล้าถามรายละเอียดมากนัก แล้วก็เอาแกไปปล่อยไว้ข้างทางตีหนึ่ง ตีสอง ก็มีชาวบ้านแจ้งตำรวจว่าเจอผู้หญิงเดินอยู่ข้างถนน ตำรวจก็เลยรับตัวพี่ยุ้ยมาที่โรงพัก ก็สอบถามว่าเป็นใคร ตอนนั้นพี่ยุ้ยด้วยความที่กลัว บวกกับมีคนหลอกมา ก็เลยจับพี่ยุ้ยส่งไปที่โรงพยาบาล นี่แหละคือเหตุการณ์ครั้งแรกที่แกเข้าโรงพยาบาล คิดว่าเพราะเหตุการณ์นี้แหละทำให้ไปกระทบกระเทือนจิตใจแก แล้วอาการก็เลยกำเริบขึ้น ตอนนั้นก็เลยติดต่อญาติคือพ่อพี่ยุ้ยมารับให้ไปต่างจังหวัดแล้ว ไปรักษาตัว บรรยากาศดีๆ ก็ยังคุยๆ กันอยู่ จนมาเห็นข่าวล่าสุดนี่แหละค่ะ”
นอกจากนั้นแล้ว เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทางมีมี่และเพื่อนนางแบบได้ขอติดต่อเข้าเยี่ยมแต่ถูกปฏิเสธ สร้างความแปลกใจให้กับเธอเป็นอย่างมาก และมีมี่ยังตั้งข้อสังเกตถึงการที่มูลนิธิปวีณายื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออีกด้วย
“มี่แปลกใจมากกับข่าวที่ว่ามูลนิธิปวีณายื่นมือมาช่วยเหลือ เพราะยังไม่มีญาติมาติดต่อรับตัว อันนี้โกรธมาก ซึ่งเมื่อวานมี่ไปหาตั้งแต่ 11 โมง จนถึงประมาณบ่าย 3 โมง มี่ก็ไม่เห็นรถคุณปวีณาหรือนักข่าวเลย ซึ่งมี่ยืนเฝ้าอยู่ตึกที่พี่ยุ้ยอยู่ แต่เข้าไม่ให้เข้าเยี่ยม ก็งงกับข่าวว่าคุณปวีณามาเยี่ยมอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีญาติมา มี่ก็อ้าว แล้วเมื่อวานที่เราไปล่ะ คืออะไร?
ส่วนเรื่องติดต่อญาติมารับเท่าที่ทราบมา ทางคุณแม่ของพี่ยุ้ย ไม่มาอะไรแล้ว ส่วนคุณพ่อโทรไปก็ไม่รับสาย ซึ่งมี่พูดเลยว่าตอนนี้พี่ยุ้ยอาจจะไม่มีใครเหลือแล้ว ก็คงจะเหลือแต่บรรดาลูกศิษย์และก็เพื่อนๆ
ตอนนี้เรื่องที่ห่วงที่สุดคือพี่ยุ้ยไม่มีใครเข้าไปเยี่ยมเลย กลัวพี่ยุ้ยจะน้อยใจว่าทำไมไม่มีใครมาเยี่ยมฉันเลย ไม่มีใครห่วงฉันแล้ว ซึ่งพี่ยุ้ยเป็นคนคิดเยอะ มี่เป็นห่วงความรู้สึกพี่ยุ้ย ไม่มีใครมาเยี่ยมเลย นี่ขนาดเข้าโรงพยาบาลนะ เป็นห่วงความรู้สึกตรงนี้มากกว่า แม้กระทั่งพี่โจ คนที่พี่ยุ้ยอยากเจอที่สุด ก็ยังไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเลย”
คนใกล้ชิดร่วมให้กำลังใจ
อย่างไรก็ตาม ผู้ใกล้ชิดรอบตัวของนางแบบดังยุ้ย-รจนา ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ณ ตอนนี้ ยุ้ยไม่ได้ติดยาหรือติดสุราต่อไปแล้ว แต่เธอเป็นโรคที่ต้องการการรักษา กำลังใจ ซึ่งนอกจากมีมี่แล้ว ในเฟซบุ๊กของ Jay Rattanaprapapan ผู้ที่ระบุว่ามีความสนิทสนมกับยุ้ย-รจนา ก็ได้โพสต์ข้อความ ในทำนองบอกกล่าวข้อเท็จจริงที่ถูกนักข่าวบิดเบือน พร้อมทั้งให้กำลังใจและแสดงความเห็นใจต่ออดีตนางแบบด้วย
“ในฐานะที่รู้จักตัวตนของพี่ยุ้ยในระดับหนึ่ง ได้คุยกับหมอและทีมพยาบาลที่ทำการรักษาพี่ยุ้ยเมื่อพี่ยุ้ยเข้า รพ.ครั้งก่อนหน้านี้ ขอเขียนถึงแบบตรงๆ ไม่โลกสวย ไม่อวยว่าพี่ยุ้ยเป็นคนดี นางฟ้า นางสวรรค์อะไรทั้งนั้น นี่คือสิ่งที่สัมผัสพี่ยุ้ยมา
พี่ยุ้ย ตกกระไดพลอยโจน จากเด็กเสิร์ฟก๋วยเตี๋ยวแถวๆเอกมัย ค่าแรงวันละร้อยกว่าบาท มาเป็นนางแบบค่าตัวปีละกว่า 50 ล้าน พูดตรงๆ ต่อให้คนที่มีการศึกษา ครอบครัวอบอุ่น ยังถือได้ว่าไม่ง่าย ที่จะทรงตัวในวงการบันเทิง แต่ รจนา เพชรกันหา ความรู้แค่ ป.6 กับพื้นเพครอบครัวที่เกือบจะเรียกได้ว่า บ้านแตก พ่อไปทาง แม่ไปทาง จากเลี้ยงควายอยู่อุบล เข้ามาตายดาบหน้าที่ กทม. แล้วไปเป็นนางแบบเบอร์ต้นๆของโลก ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี
ทำงานในเมืองไทยยังไม่เท่าไหร่ แต่นี่ต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ทั้งนิวยอร์ค ปารีส ลอนดอน มิลาน ตัวคนเดียว แบบไม่มีใครอยู่ข้างๆ วุฒิภาวะก็ถือว่ายังน้อย พี่ยุ้ยเป็นคนไม่ทันคน จนบางคนถึงขั้นพูดว่า เธอโง่ เธอไม่มีจริต เธอกระโดดจากเด็กเสิร์ฟก๋วยเตี๋ยว แล้วข้ามไปสู่อาชีพนางแบบเลย แล้วด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เธอติดยา และเธอยอมรับว่าเธอติดยา เธอกลับมาเมืองไทยในสภาพคนติดยา เธอมีงานบ้างประปราย หลังจากเข้ารับการบำบัด และสมองของเธอก็ถูกโคเคนทำลายไปแล้ว จนทำให้เธอมีอาการของ Bipolar Disorder
พี่ยุ้ยมีข่าวอีกครั้ง ด้วยข้อหา "ทำร้ายแม่" สิ่งที่พี่ยุ้ยกับแม่เจอคือ การถามชี้นำ และชักจูง ให้ตอบคำถามในคำตอบเชิงที่นักข่าวต้องการ เพื่อขายข่าว พี่ยุ้ยถามว่า "คุณเจคิดว่าพี่จะตีแม่ตัวเองได้ลงคอเหรอคะ?" ทั้งพี่ยุ้ย ทั้งแม่ ไม่ทันเกมของนักข่าวในครั้งนั้น ข่าวก็ขายได้ น่าจะเข้าเป้าพอสมควร แล้วกราฟชีวิตก็เริ่มดิ่งหนักกว่าเดิม
อาการ Bipolar ที่เป็นอยู่ ทำให้ความรู้สึก อารมณ์ มันมีจุดพีคที่มากกว่าคนปกติ ดีใจ เสียใจ โกรธ โมโห จะพุ่งสูงกว่าคนปกติ หมอที่ให้การรักษาบอกว่า "อาการของรจนา ก็เหมือนคนปกติล่ะค่ะ ใช้ชีวิตปกติได้ แต่ต้องกินยาอย่างสม่ำเสมอ ส่วนเรื่องของอาการโกรธ โมโห มันเป็นอาการปกติของคนทุกคน ไม่เฉพาะคนป่วย"
หมอกำชับว่า "อย่าให้เรื่องนี้เป็นข่าว รจนาไม่ได้บ้า รจนาแค่ต้องการการรักษา การตีข่าวออกไปแบบไม่ยั้งคิด มันจะทำลายอนาคตของเขาได้ และมันจะส่งผลกระทบ ถ้าในอนาคตเขาต้องทำงาน"
ล่าสุด พี่ยุ้ยเข้ารับการรักษาที่ตึกเดิม ตึกเดียวกันกับครั้งที่แล้ว พี่น้องที่สนิทกันกำลังทยอยไปเยี่ยม ทีมแพทย์กำลังรับมือกับนักข่าว ที่จะเข้าไปรบกวนทั้งพี่ยุ้ย และผู้ป่วยคนอื่นๆ พี่ยุ้ยไม่เคยออกมาอ้อนวอนขอให้ใครเมตตาในการทำงาน พี่ยุ้ยพยายามรักษารูปร่าง ไม่ว่าจะตอนที่อยู่ในตึกพยาบาล หรือตอนที่กลับบ้านพ่อที่พยัคฆภูมิพิสัย เพื่อจะได้กลับมาทำงาน เพราะมีผุ้ใหญ่ในวงการแฟชั่นให้คำมั่นเอาไว้ว่า ถ้ารูปร่างเข้าที่กว่านี้ จะให้ลงปกนิตยสารชั้นนำของไทย
เรื่องนี้ไม่โทษใคร แม้กระทั่งตอนที่พี่ยุ้ยถูกโกงค่าตัว หรือมีคนตามประกบพี่ยุ้ยไปถึงกองถ่ายแฟชั่น แล้วยึดเงินค่าตัวของพี่ยุ้ย ซึ่งคนที่รู้เรื่องนี้มีแต่คนสนิทและทีมงานในกอง ที่เจอป้ามหาภัยคนนั้น ก็นอกจากนี้ไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งนักข่าวก็ไม่รู้
พี่ยุ้ยผิดพลาดที่พี่ยุ้ยไปยุ่งกับโคเคน จนส่งผลเสียกับชีวิต แต่การที่พี่ยุ้ยเป็นคนไม่ฉลาดไม่ทันคน และไม่มีความทักษะในการทำงานด้านอื่นๆติดตัวไปเลย มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอสมควรจะถูกใครมาเอาเปรียบหนักขนาดนี้ อึดอัดมากกับข่าวและคำวิจารณ์ที่ออกมา และที่ไม่น่าเชื่อคือ บางเพจที่ตั้งตัวเป็นกูรูเรื่องแฟชั่น ยังกล้าเขียนมั่วซั่ว และกล่าวโทษว่าเธอกลับไปติดยา ทั้งๆ ที่ผลตรวจเลือด ไม่มีสารเสพติดอยู่ในกระแสเลือดด้วยซ้ำ”
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"ยุ้ย รจนา" เผยชีวิตบัดซบ จากนางแบบโลกสู่ชีวิตสาวโรงงาน-กินข้าวกับเกลือ (2551)
รจนา เพชรกันหา...ฉันเกิดมาเพื่อเป็น 'ซูเปอร์โมเดล' (2553)