กลุ่มหน้ากากแดงเปิดปฏิบัติการตอบโต้หน้ากากขาวบนเฟซบุ๊ก ระดมพลนักรบไซเบอร์นัดหมายถล่มเพจด่ารัฐบาล รายงาน ICT ปิดแล้ว 1 “คนละหมัด เดอะซีรีส์” จนต้องออกเวอร์ชัน 2 กางผังล่า 10 เพจระดับกะทิ ข้องใจเพจหมิ่นสถาบันยังอยู่เกลื่อน เผยเพจที่แรงในเวลานี้ V For Thailand เป็นศูนย์รวมพันธมิตรหน้ากากขาว แสดงพลังลงสู่ถนนย่านสีลม ฝ่ายความมั่นคงยอมรับหากคนในโซเชียลฯ รวมตัวกับคนที่ไม่พอใจรัฐลงถนนเมื่อไหร่รัฐบาลอยู่ลำบาก
แนวรบทางการเมืองปัจจุบันไม่ได้มีเพียงแค่การทำหน้าที่ระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล ไม่ใช่มีเพียงแค่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ อภิปรายงบประมาณ หรือตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลว่าบกพร่อง ทุจริต หรือเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคพวกเพื่อนพ้องหรือไม่
ในช่วงที่ผ่านมาได้มีการขยายไปสู่การสร้างสื่ออื่นเป็นของตัวเองของฝ่ายการเมือง ทั้งเว็บไซต์และทีวีดาวเทียม ที่ทำหน้าที่ขยายความจากการเมืองภาคปกติ พร้อมทั้งยังเป็นการรักษาฐานทางการเมืองของพรรคการเมืองต่างๆ ไปในตัว
อีกหนึ่งแนวรบที่ดุเดือดไม่แพ้กันนั่นคือ การทำสงครามผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง face book ที่คนในประเทศส่วนใหญ่เข้าถึง ยิ่งเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองร้อนแรงขึ้น การฟาดฟันกันผ่านเฟซบุ๊กจึงมีความเข้มข้นมากขึ้นตามไปด้วย
ด้วยเหตุที่เฟซบุ๊กเข้าถึงง่าย มีคนใช้เป็นจำนวนมาก การดำเนินการในทางกฎหมายอาจมีข้อจำกัดอยู่บ้าง จึงทำให้มีการใช้เฟซบุ๊กเพื่อจุดประสงค์ทางการเมืองทั้งในนามของบุคคลและของแฟนเพจ ด้านหนึ่งเพื่อสื่อสารกับเพื่อนหรือคนที่เข้ามาเป็นแฟนเพจ อีกด้านเพื่อเป็นการตอบโต้กับฝ่ายตรงข้าม
รัฐเต้น “หน้ากากขาว”
หลังจากปฏิบัติการหน้ากากขาวที่เปิดฉากขึ้นในช่วงวันหยุดวิสาขบูชาที่ผ่านมา ทำเอาพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ถึงกับออกอาการนั่งไม่ติด และเตรียมที่จะดำเนินคดีกับผู้กระทำการดังกล่าว
“ขณะนี้กองทัพประชาชนได้ลุกขึ้นมาแล้ว ข้าขอประกาศว่า ข้าจะล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย” ทำเอาคนที่อยู่ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กจำนวนไม่น้อย หันมาเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ของตัวเองมาเป็นรูปหน้ากากที่นำมาจากภาพยนตร์เรื่อง V for vendetta
นับว่าเป็นความต่อเนื่องหลังจากเหตุการณ์ปาฐกถาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ประเทศมองโกเลีย ทั้งถ้อยความและเนื้อหาเป็นการกล่าวร้ายถึงประเทศไทยและตอกย้ำให้ผู้เข้าร่วมประชุมทราบว่าครอบครัวชินวัตรเป็นผู้ถูกกระทำจากอำนาจที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
จากนั้น ชัย ราชวัตร นักเขียนการ์ตูนชื่อดังในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้โพสต์ข้อความบางสำนวน จนทำให้นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้แจ้งความดำเนินคดี และมีกลุ่มที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยเดินทางไปชุมนุมหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
ถัดมาจึงเกิดปรากฏการณ์ไทยสปริงขึ้นมาโดยมี 2 หัวเรือใหญ่อย่าง แก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำและอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ที่รวบรวมผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยกล่าว
ความต่อเนื่องจากปฏิกิริยาแบบลูกโซ่ในโซเชียลเน็ตเวิร์กครั้งนี้จึงบ่งบอกถึงความอัดอั้นของภาคประชาชนจำนวนไม่น้อย ที่ต้องทนเห็นสิ่งที่คนของรัฐบาลทำอยู่ชนิดที่ไม่ต้องเกรงใจใคร ไม่ต้องฟังเสียงคัดค้านทั้งเรื่องนโยบายบริหารประเทศหรือการใช้อำนาจของพวกพ้องเข้าคุกคามกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ขณะที่พรรคฝ่ายค้านที่มีอยู่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากเป็นเสียงข้างน้อย แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลต่างก็เงียบ
ก่อนที่จะเริ่มปรากฏการณ์หน้ากากขาวไม่นาน ได้มีการ Hack ข้อมูลบนเว็บไซต์ของสำนักนายกรัฐมนตรีมาแล้ว แต่ยังไม่สามารถหาตัวผู้กระทำผิดได้ ตำรวจทำได้เพียงเชิญตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบสวน
“เท่าที่ประเมินจากปรากฏการณ์หน้ากากขาวหรือหน้ากาก V ทำเอารัฐบาลหัวเสียไม่น้อย เห็นได้จากโฆษกพรรคต้องออกมากล่าวถึงเรื่องนี้และพยายามที่จะสกัดกั้น เพราะหากปล่อยไปอาจเป็นการเพาะเชื้อความไม่พอใจของประชาชนให้มากขึ้นเรื่อยๆ และอาจนำไปสู่การชุมนุมของภาคประชาชนได้ง่ายขึ้น” อดีตนักรบไซเบอร์รายหนึ่งแสดงความคิดเห็น
สอดคล้องกับแหล่งข่าวด้านความมั่นคงที่เห็นว่า “ลำพังแค่การต่อสู้กันบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก คงไม่ทำให้รัฐบาลหวาดหวั่น เพราะเป็นแค่การตอบโต้กันไปมา แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีการดำเนินการคู่ขนานอย่างเช่นมีการออกมาชุมนุมของภาคประชาชนเหมือนกับครั้งก่อน นั่นแหละคือสิ่งที่รัฐบาลกลัว”
สกัดทั้งบนดิน-ใต้ดิน
ภาครัฐใช้ทั้งวิธีการบนดิน ด้วยการนำเอากฎหมายมาเป็นเครื่องมือ ทั้งพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์และใช้ตำรวจที่รัฐบาลคุมได้ทั้งหมดเข้ามาเป็นตัวสกัดกั้น ขณะเดียวกันยังใช้วิธีการใต้ดินด้วยการให้กลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลเข้ามาเป็นแนวรบด้านไซเบอร์อีกทางหนึ่ง
มีการโพสต์ข้อความนัดหมายถล่มเฟซบุ๊กของกลุ่มตรงข้ามรัฐบาลเมื่อ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมาผ่านเพจของ “สื่อมวลชน คนเสื้อแดง” พร้อมการแสดงสัญลักษณ์หน้ากากแดง ได้นัดหมายกันให้รายงานเพจเป้าหมายไปยังกระทรวงไอซีทีว่าเป็นเพจเป็นสแปมหรือหลอกลวง โดยระบุเป้าหมายไว้ 10 เพจที่มีคนติดตามเป็นจำนวนมาก และที่ทำสำเร็จไปแล้วคือเพจ “คนละหมัด เดอะซีรีส์” ซึ่งทีมงานและเครือข่ายต่างมองว่าเป็นฝีมือของ ICTและมีการเปิดขึ้นมาใหม่เป็น “คนละหมัด เดอะซีรีส์ 2”
ตั้งเป้าล่า 10 เพจดัง
สำหรับ 10 เพจที่ตกเป็นเป้าหมาของการไล่ล่าจากฝั่งเสื้อแดงประกอบด้วย
1. Dislike Yingluck For Concentration Citizen
2. ลัทธิควายแดงรักทักษิณจนเสียสติ
3. มั่นใจว่าคนไทยเกิน 1 ล้าน อยากให้ยิ่งลักษณ์ยุบสภา
4. สายตรงภาคสนาม
5. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
6. ปู จิตกร บุษบา
7. รวมความฮาของนายกฯยิ่งลักษณ์
8. กลุ่มปัญญาชนคนอีสานไม่เอาพรรคเพื่อไทย
9. ขบวนการเสรีไทยเฟซบุ๊ก
10. Watch Red Shirt ศูนย์ปฏิบัติการติดตามผู้ชุมนุมเสื้อแดง
ซัดเลือกปฏิบัติปล่อยเพจหมิ่น
วิธีการที่พวกเขาทำก็คือเน้นรวมพลังกันกดรายงานไปยัง ICT พร้อมๆ กันและเป็นจำนวนที่มากพอ ไม่ต่างกับช่วงที่พวกเราเคยรายงานเรื่องเฟซบุ๊กหรือเว็บไซต์ที่หมิ่นสถาบัน แต่ต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้นเป็นประโยชน์กับรัฐบาล ทำให้ข้อสงสัยจึงมาตกอยู่ที่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เจ้ากระทรวงก็มาจากพรรคเพื่อไทย ที่ยังควานหาตัวมือแฮกเกอร์เว็บไซต์สำนักนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ดังนั้นในกรณีนี้จึงรีบเร่งในการจัดการ แตกต่างจากเฟซบุ๊กหมิ่นสถาบันที่ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่แม้จะมีรายงานแจ้งเข้าไปก็ไม่มีการปิด
เมื่อถามถึงการปิดเฟซบุ๊กชั่วคราวเป็นเวลา 30 วันของ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ธรรมศาสตร์ ที่เปิดตัวไม่เอาสถาบัน นั่นเป็นเพราะมีการนำภาพตัดต่อของบุคคลอื่น (พรรคประชาธิปัตย์) ด้านล่างเปลือยมาโพสต์ ถือเป็นการทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสีย
“ICT เมื่อได้รับการแจ้งไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม ต้องมีหน้าที่พิจารณาว่าเพจที่มีการรายงานเข้าไปนั้น มีเนื้อหาที่เหมาะสมหรือสมควรหรือไม่ ก่อนตัดสินใจดำเนินการภายใต้อำนาจ ไม่ใช่เพจที่ตำหนิการทำงานรัฐบาลปิดตามการรายงานของพวกเดียวกัน แต่เพจที่หมิ่นสถาบันหรือเพจของเสื้อแดงที่ตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามกลับปล่อยให้ยังมีอยู่” ทีมไซเบอร์เพจดังตั้งข้อสังเกต
ขณะนี้แนวรบบนเฟซบุ๊กดุเดือดมาก ฝ่ายแดงตั้งทีมล่าเพจฝ่ายตรงข้าม หลังจากที่เฟซบุ๊กของฝ่ายการเมืองถูกลูบคมไปก่อนหน้า ด้วยการเข้าปลอมโปรไฟล์ของทักษิณ หรือเปลี่ยนภาพเป็นหน้ากากขาวเข้าไปป่วนตามเฟซบุ๊กของหน่วยงานรัฐ
ทีมของเสื้อแดงจึงเปิดปฏิบัติการเอาคืนด้วยการเข้าไปถล่มหรือป่วนเฟซบุ๊กของฝ่ายตรงข้าม พร้อมเปิดศึกใหญ่ด้วยการนัดรวมพลแจ้งต่อ ICT เพื่อให้ดำเนินการปิดและสำเร็จมาแล้ว 1 ราย ขณะที่เป้าหมายของเสื้อแดงรายอื่นบางเพจไหวตัวทันต้องเอาเพจของตัวเองหลบจากกระแสการโจมตีไว้ก่อน เช่นเพจของกลุ่มปัญญาชนคนอีสานไม่เอาพรรคเพื่อไทย ก่อนที่จะเอากลับขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะเดียวกันเพจของกลุ่มที่ไม่เอาทักษิณ นัดรวมตัวกันตอบโต้เพจของฝ่ายตรงข้ามเช่นเดียวกัน แต่จะสำเร็จหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับ ICT
โลกไซเบอร์ฝ่ายตรงข้ามรัฐเพียบ
ในทางปฏิบัติแล้วการปิดเพจต่างๆ บนเฟซบุ๊กไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เมื่อถูกปิดแล้วก็เปิดขึ้นมาใหม่ได้ แต่ปัญหาคือจำนวนสมาชิกที่ได้กลับคืนมาจะน้อยลงกว่าเดิมมาก ต้องมีการทำการตลาดกันใหม่เพื่อดึงสมาชิกกลับมา
เมื่อเห็นได้จากรายชื่อเป้าหมายกลุ่มที่ชื่นชอบพรรคเพื่อไทย จะเป็นเพจที่มีผู้ชื่นชอบเป็นจำนวนมาก แต่ละเพจหากเป็นเพจดังจะมีคนเข้ามากด like มากกว่า 1 แสนราย
คนที่เข้าถึงเฟซบุ๊กมักเป็นกลุ่มคนชั้นกลาง เมื่อตรวจสอบคนที่ชื่นชอบเพจของฝั่งที่ชื่นชอบรัฐบาลแล้วมีเพจเด่นอย่าง Thaksin Shinawatra และของ Oak Panthongtae Shinawatra ที่มียอดกด like เกินกว่า 1 แสนราย ส่วนเพจฝ่ายต่อต้านทักษิณมีหลายเพจและเชื่อมโยงข้อมูลกันและมีไม่น้อยกว่า 4 เพจที่มียอดเกิน 1 แสนราย
ว่าไปแล้วสงครามบนโซเชียลเน็ตเวิร์กนี้ดูเหมือนฝ่ายที่ไม่ชอบทักษิณจะมีมากกว่า ดังนั้นเมื่อพรรคเพื่อไทยมีอำนาจการสกัดกั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“เราคิดว่าสิ่งที่คุณทักษิณกำลังทำอยู่ในเวลานี้เป็นสิ่งที่โง่มาก เพราะเอากลุ่มที่จาบจ้วงสถาบันเข้ามาอยู่ด้วย และการกระทำอย่างนี้จะยิ่งทำให้ความไม่พอใจของประชาชนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาหนึ่งคนจำนวนไม่น้อยก็จะออกมาแสดงพลังบนท้องถนน” แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคงกล่าว
พร้อมกล่าวต่อไปว่า การสกัดกั้นกระแสความไม่พอใจของประชาชนบนโซเชียลเน็ตเวิร์กในครั้งนี้ จึงดำเนินการอย่างรีบเร่ง โดยมุ่งเน้นไปที่เฟซบุ๊กที่เปิดลักษณะแฟนเพจที่มีเนื้อหาโจมตีการทำงานของรัฐบาล ขณะที่เพจที่สนับสนุนรัฐบาล โจมตีฝ่ายตรงข้ามสถาบันกลับปล่อยปละละเลย หากเป็นเช่นนี้ยิ่งจะเร่งให้กระแสความไม่พอใจของภาคประชาชนมีมากขึ้นเรื่อยๆ
V For Thailand แรง
ขณะเดียวกันได้มีการเปิดเพจ V For Thailand ขึ้นมาเมื่อ 4 ธันวาคม 2554 และได้ดำเนินกิจกรรมตามพื้นที่ต่าง ๆ ในย่านใจกลางธุรกิจ จากช่วงวันที่ 29 พฤษภาคม มียอดคนกด like ของเพจนี้เพิ่มขึ้นมาเกินกว่า 9 พัน ล่าสุดยอดขยับขึ้นมาเป็น 35,990 like และกลุ่มนี้ยังมีการหารือกับกลุ่มไทยสปริงของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ที่อาจจะมีความร่วมมือกัน และเพียงแค่ 2 วัน 31 พฤษภาคม 2556 กลุ่มหน้ากากขาวได้นัดรวมตัวกันจากท้องสนามหลวงเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่สีลม เพื่อแสดงการต่อต้านระบอบทักษิณ นับเป็นการแสดงตัวตนที่ชัดเจนนอกเหนือจากพื้นที่บนโซเชียลเน็ตเวิร์ก
“นี่คือยุทธศาสตร์ของการเดินหน้าต่อต้านระบอบทักษิณและเครือข่ายอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่การโจมตีกันบนโลกออนไลน์เพียงอย่างเดียว หากสามารถรวบรวมกลุ่มที่ต่อต้านระบอบทักษิณให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้จะเป็นพลังที่ทำให้พรรคเพื่อไทยที่ทำอะไรตามอำเภอใจในทุกวันนี้อาจต้องทบทวนตัวเอง” แหล่งข่าวด้านความมั่นคงกล่าว
แนวรบทางการเมืองปัจจุบันไม่ได้มีเพียงแค่การทำหน้าที่ระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล ไม่ใช่มีเพียงแค่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ อภิปรายงบประมาณ หรือตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลว่าบกพร่อง ทุจริต หรือเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคพวกเพื่อนพ้องหรือไม่
ในช่วงที่ผ่านมาได้มีการขยายไปสู่การสร้างสื่ออื่นเป็นของตัวเองของฝ่ายการเมือง ทั้งเว็บไซต์และทีวีดาวเทียม ที่ทำหน้าที่ขยายความจากการเมืองภาคปกติ พร้อมทั้งยังเป็นการรักษาฐานทางการเมืองของพรรคการเมืองต่างๆ ไปในตัว
อีกหนึ่งแนวรบที่ดุเดือดไม่แพ้กันนั่นคือ การทำสงครามผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง face book ที่คนในประเทศส่วนใหญ่เข้าถึง ยิ่งเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองร้อนแรงขึ้น การฟาดฟันกันผ่านเฟซบุ๊กจึงมีความเข้มข้นมากขึ้นตามไปด้วย
ด้วยเหตุที่เฟซบุ๊กเข้าถึงง่าย มีคนใช้เป็นจำนวนมาก การดำเนินการในทางกฎหมายอาจมีข้อจำกัดอยู่บ้าง จึงทำให้มีการใช้เฟซบุ๊กเพื่อจุดประสงค์ทางการเมืองทั้งในนามของบุคคลและของแฟนเพจ ด้านหนึ่งเพื่อสื่อสารกับเพื่อนหรือคนที่เข้ามาเป็นแฟนเพจ อีกด้านเพื่อเป็นการตอบโต้กับฝ่ายตรงข้าม
รัฐเต้น “หน้ากากขาว”
หลังจากปฏิบัติการหน้ากากขาวที่เปิดฉากขึ้นในช่วงวันหยุดวิสาขบูชาที่ผ่านมา ทำเอาพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ถึงกับออกอาการนั่งไม่ติด และเตรียมที่จะดำเนินคดีกับผู้กระทำการดังกล่าว
“ขณะนี้กองทัพประชาชนได้ลุกขึ้นมาแล้ว ข้าขอประกาศว่า ข้าจะล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย” ทำเอาคนที่อยู่ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กจำนวนไม่น้อย หันมาเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ของตัวเองมาเป็นรูปหน้ากากที่นำมาจากภาพยนตร์เรื่อง V for vendetta
นับว่าเป็นความต่อเนื่องหลังจากเหตุการณ์ปาฐกถาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ประเทศมองโกเลีย ทั้งถ้อยความและเนื้อหาเป็นการกล่าวร้ายถึงประเทศไทยและตอกย้ำให้ผู้เข้าร่วมประชุมทราบว่าครอบครัวชินวัตรเป็นผู้ถูกกระทำจากอำนาจที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
จากนั้น ชัย ราชวัตร นักเขียนการ์ตูนชื่อดังในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้โพสต์ข้อความบางสำนวน จนทำให้นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้แจ้งความดำเนินคดี และมีกลุ่มที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยเดินทางไปชุมนุมหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
ถัดมาจึงเกิดปรากฏการณ์ไทยสปริงขึ้นมาโดยมี 2 หัวเรือใหญ่อย่าง แก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำและอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ที่รวบรวมผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยกล่าว
ความต่อเนื่องจากปฏิกิริยาแบบลูกโซ่ในโซเชียลเน็ตเวิร์กครั้งนี้จึงบ่งบอกถึงความอัดอั้นของภาคประชาชนจำนวนไม่น้อย ที่ต้องทนเห็นสิ่งที่คนของรัฐบาลทำอยู่ชนิดที่ไม่ต้องเกรงใจใคร ไม่ต้องฟังเสียงคัดค้านทั้งเรื่องนโยบายบริหารประเทศหรือการใช้อำนาจของพวกพ้องเข้าคุกคามกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ขณะที่พรรคฝ่ายค้านที่มีอยู่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากเป็นเสียงข้างน้อย แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลต่างก็เงียบ
ก่อนที่จะเริ่มปรากฏการณ์หน้ากากขาวไม่นาน ได้มีการ Hack ข้อมูลบนเว็บไซต์ของสำนักนายกรัฐมนตรีมาแล้ว แต่ยังไม่สามารถหาตัวผู้กระทำผิดได้ ตำรวจทำได้เพียงเชิญตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบสวน
“เท่าที่ประเมินจากปรากฏการณ์หน้ากากขาวหรือหน้ากาก V ทำเอารัฐบาลหัวเสียไม่น้อย เห็นได้จากโฆษกพรรคต้องออกมากล่าวถึงเรื่องนี้และพยายามที่จะสกัดกั้น เพราะหากปล่อยไปอาจเป็นการเพาะเชื้อความไม่พอใจของประชาชนให้มากขึ้นเรื่อยๆ และอาจนำไปสู่การชุมนุมของภาคประชาชนได้ง่ายขึ้น” อดีตนักรบไซเบอร์รายหนึ่งแสดงความคิดเห็น
สอดคล้องกับแหล่งข่าวด้านความมั่นคงที่เห็นว่า “ลำพังแค่การต่อสู้กันบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก คงไม่ทำให้รัฐบาลหวาดหวั่น เพราะเป็นแค่การตอบโต้กันไปมา แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีการดำเนินการคู่ขนานอย่างเช่นมีการออกมาชุมนุมของภาคประชาชนเหมือนกับครั้งก่อน นั่นแหละคือสิ่งที่รัฐบาลกลัว”
สกัดทั้งบนดิน-ใต้ดิน
ภาครัฐใช้ทั้งวิธีการบนดิน ด้วยการนำเอากฎหมายมาเป็นเครื่องมือ ทั้งพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์และใช้ตำรวจที่รัฐบาลคุมได้ทั้งหมดเข้ามาเป็นตัวสกัดกั้น ขณะเดียวกันยังใช้วิธีการใต้ดินด้วยการให้กลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลเข้ามาเป็นแนวรบด้านไซเบอร์อีกทางหนึ่ง
มีการโพสต์ข้อความนัดหมายถล่มเฟซบุ๊กของกลุ่มตรงข้ามรัฐบาลเมื่อ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมาผ่านเพจของ “สื่อมวลชน คนเสื้อแดง” พร้อมการแสดงสัญลักษณ์หน้ากากแดง ได้นัดหมายกันให้รายงานเพจเป้าหมายไปยังกระทรวงไอซีทีว่าเป็นเพจเป็นสแปมหรือหลอกลวง โดยระบุเป้าหมายไว้ 10 เพจที่มีคนติดตามเป็นจำนวนมาก และที่ทำสำเร็จไปแล้วคือเพจ “คนละหมัด เดอะซีรีส์” ซึ่งทีมงานและเครือข่ายต่างมองว่าเป็นฝีมือของ ICTและมีการเปิดขึ้นมาใหม่เป็น “คนละหมัด เดอะซีรีส์ 2”
ตั้งเป้าล่า 10 เพจดัง
สำหรับ 10 เพจที่ตกเป็นเป้าหมาของการไล่ล่าจากฝั่งเสื้อแดงประกอบด้วย
1. Dislike Yingluck For Concentration Citizen
2. ลัทธิควายแดงรักทักษิณจนเสียสติ
3. มั่นใจว่าคนไทยเกิน 1 ล้าน อยากให้ยิ่งลักษณ์ยุบสภา
4. สายตรงภาคสนาม
5. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
6. ปู จิตกร บุษบา
7. รวมความฮาของนายกฯยิ่งลักษณ์
8. กลุ่มปัญญาชนคนอีสานไม่เอาพรรคเพื่อไทย
9. ขบวนการเสรีไทยเฟซบุ๊ก
10. Watch Red Shirt ศูนย์ปฏิบัติการติดตามผู้ชุมนุมเสื้อแดง
ซัดเลือกปฏิบัติปล่อยเพจหมิ่น
วิธีการที่พวกเขาทำก็คือเน้นรวมพลังกันกดรายงานไปยัง ICT พร้อมๆ กันและเป็นจำนวนที่มากพอ ไม่ต่างกับช่วงที่พวกเราเคยรายงานเรื่องเฟซบุ๊กหรือเว็บไซต์ที่หมิ่นสถาบัน แต่ต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้นเป็นประโยชน์กับรัฐบาล ทำให้ข้อสงสัยจึงมาตกอยู่ที่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เจ้ากระทรวงก็มาจากพรรคเพื่อไทย ที่ยังควานหาตัวมือแฮกเกอร์เว็บไซต์สำนักนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ดังนั้นในกรณีนี้จึงรีบเร่งในการจัดการ แตกต่างจากเฟซบุ๊กหมิ่นสถาบันที่ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่แม้จะมีรายงานแจ้งเข้าไปก็ไม่มีการปิด
เมื่อถามถึงการปิดเฟซบุ๊กชั่วคราวเป็นเวลา 30 วันของ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ธรรมศาสตร์ ที่เปิดตัวไม่เอาสถาบัน นั่นเป็นเพราะมีการนำภาพตัดต่อของบุคคลอื่น (พรรคประชาธิปัตย์) ด้านล่างเปลือยมาโพสต์ ถือเป็นการทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสีย
“ICT เมื่อได้รับการแจ้งไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม ต้องมีหน้าที่พิจารณาว่าเพจที่มีการรายงานเข้าไปนั้น มีเนื้อหาที่เหมาะสมหรือสมควรหรือไม่ ก่อนตัดสินใจดำเนินการภายใต้อำนาจ ไม่ใช่เพจที่ตำหนิการทำงานรัฐบาลปิดตามการรายงานของพวกเดียวกัน แต่เพจที่หมิ่นสถาบันหรือเพจของเสื้อแดงที่ตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามกลับปล่อยให้ยังมีอยู่” ทีมไซเบอร์เพจดังตั้งข้อสังเกต
ขณะนี้แนวรบบนเฟซบุ๊กดุเดือดมาก ฝ่ายแดงตั้งทีมล่าเพจฝ่ายตรงข้าม หลังจากที่เฟซบุ๊กของฝ่ายการเมืองถูกลูบคมไปก่อนหน้า ด้วยการเข้าปลอมโปรไฟล์ของทักษิณ หรือเปลี่ยนภาพเป็นหน้ากากขาวเข้าไปป่วนตามเฟซบุ๊กของหน่วยงานรัฐ
ทีมของเสื้อแดงจึงเปิดปฏิบัติการเอาคืนด้วยการเข้าไปถล่มหรือป่วนเฟซบุ๊กของฝ่ายตรงข้าม พร้อมเปิดศึกใหญ่ด้วยการนัดรวมพลแจ้งต่อ ICT เพื่อให้ดำเนินการปิดและสำเร็จมาแล้ว 1 ราย ขณะที่เป้าหมายของเสื้อแดงรายอื่นบางเพจไหวตัวทันต้องเอาเพจของตัวเองหลบจากกระแสการโจมตีไว้ก่อน เช่นเพจของกลุ่มปัญญาชนคนอีสานไม่เอาพรรคเพื่อไทย ก่อนที่จะเอากลับขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะเดียวกันเพจของกลุ่มที่ไม่เอาทักษิณ นัดรวมตัวกันตอบโต้เพจของฝ่ายตรงข้ามเช่นเดียวกัน แต่จะสำเร็จหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับ ICT
โลกไซเบอร์ฝ่ายตรงข้ามรัฐเพียบ
ในทางปฏิบัติแล้วการปิดเพจต่างๆ บนเฟซบุ๊กไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เมื่อถูกปิดแล้วก็เปิดขึ้นมาใหม่ได้ แต่ปัญหาคือจำนวนสมาชิกที่ได้กลับคืนมาจะน้อยลงกว่าเดิมมาก ต้องมีการทำการตลาดกันใหม่เพื่อดึงสมาชิกกลับมา
เมื่อเห็นได้จากรายชื่อเป้าหมายกลุ่มที่ชื่นชอบพรรคเพื่อไทย จะเป็นเพจที่มีผู้ชื่นชอบเป็นจำนวนมาก แต่ละเพจหากเป็นเพจดังจะมีคนเข้ามากด like มากกว่า 1 แสนราย
คนที่เข้าถึงเฟซบุ๊กมักเป็นกลุ่มคนชั้นกลาง เมื่อตรวจสอบคนที่ชื่นชอบเพจของฝั่งที่ชื่นชอบรัฐบาลแล้วมีเพจเด่นอย่าง Thaksin Shinawatra และของ Oak Panthongtae Shinawatra ที่มียอดกด like เกินกว่า 1 แสนราย ส่วนเพจฝ่ายต่อต้านทักษิณมีหลายเพจและเชื่อมโยงข้อมูลกันและมีไม่น้อยกว่า 4 เพจที่มียอดเกิน 1 แสนราย
ว่าไปแล้วสงครามบนโซเชียลเน็ตเวิร์กนี้ดูเหมือนฝ่ายที่ไม่ชอบทักษิณจะมีมากกว่า ดังนั้นเมื่อพรรคเพื่อไทยมีอำนาจการสกัดกั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“เราคิดว่าสิ่งที่คุณทักษิณกำลังทำอยู่ในเวลานี้เป็นสิ่งที่โง่มาก เพราะเอากลุ่มที่จาบจ้วงสถาบันเข้ามาอยู่ด้วย และการกระทำอย่างนี้จะยิ่งทำให้ความไม่พอใจของประชาชนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาหนึ่งคนจำนวนไม่น้อยก็จะออกมาแสดงพลังบนท้องถนน” แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคงกล่าว
พร้อมกล่าวต่อไปว่า การสกัดกั้นกระแสความไม่พอใจของประชาชนบนโซเชียลเน็ตเวิร์กในครั้งนี้ จึงดำเนินการอย่างรีบเร่ง โดยมุ่งเน้นไปที่เฟซบุ๊กที่เปิดลักษณะแฟนเพจที่มีเนื้อหาโจมตีการทำงานของรัฐบาล ขณะที่เพจที่สนับสนุนรัฐบาล โจมตีฝ่ายตรงข้ามสถาบันกลับปล่อยปละละเลย หากเป็นเช่นนี้ยิ่งจะเร่งให้กระแสความไม่พอใจของภาคประชาชนมีมากขึ้นเรื่อยๆ
V For Thailand แรง
ขณะเดียวกันได้มีการเปิดเพจ V For Thailand ขึ้นมาเมื่อ 4 ธันวาคม 2554 และได้ดำเนินกิจกรรมตามพื้นที่ต่าง ๆ ในย่านใจกลางธุรกิจ จากช่วงวันที่ 29 พฤษภาคม มียอดคนกด like ของเพจนี้เพิ่มขึ้นมาเกินกว่า 9 พัน ล่าสุดยอดขยับขึ้นมาเป็น 35,990 like และกลุ่มนี้ยังมีการหารือกับกลุ่มไทยสปริงของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ที่อาจจะมีความร่วมมือกัน และเพียงแค่ 2 วัน 31 พฤษภาคม 2556 กลุ่มหน้ากากขาวได้นัดรวมตัวกันจากท้องสนามหลวงเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่สีลม เพื่อแสดงการต่อต้านระบอบทักษิณ นับเป็นการแสดงตัวตนที่ชัดเจนนอกเหนือจากพื้นที่บนโซเชียลเน็ตเวิร์ก
“นี่คือยุทธศาสตร์ของการเดินหน้าต่อต้านระบอบทักษิณและเครือข่ายอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่การโจมตีกันบนโลกออนไลน์เพียงอย่างเดียว หากสามารถรวบรวมกลุ่มที่ต่อต้านระบอบทักษิณให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้จะเป็นพลังที่ทำให้พรรคเพื่อไทยที่ทำอะไรตามอำเภอใจในทุกวันนี้อาจต้องทบทวนตัวเอง” แหล่งข่าวด้านความมั่นคงกล่าว