xs
xsm
sm
md
lg

ชินวัตรไม่ได้ถือหุ้น คำโกหกของ "นพดล" ราคาน้ำมันสมเหตุสมผล คำโกหกของปตท.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คำโกหกต่อสาธารณะที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โป้ปดมาโดยตลอดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ไม่มีหุ้นในบมจ.ปตท.แม้แต่หุ้นเดียว รวมทั้งไม่มีการลงทุนด้านพลังงานทั้งน้ำมันและแก๊สฯ ทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เหมือนถูกตบหน้าอย่างจังเมื่อมีการออกมาแถลงข่าวของผู้บริหารระดับสูงสุดของ บมจ.ปตท. โดยยืนยันว่า ตระกูลชินวัตร ถือครองหุ้น ปตท. อยู่ 0.002 %

ถึงแม้นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปตท. จะให้เหตุผลว่า สัดส่วนหุ้นที่ชินวัตรถือครองอยู่ในปตท.นั้น น้อยมาก เป็นสัดส่วนที่ไม่มีนัยยะเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมดกว่า 50,000 ราย และจำนวนหุ้นสามัญของปตท.ทั้งหมด 2,850 ล้านหุ้น ก็ตาม เพราะที่ผ่านมา นายนพดล ทำปากดีว่า เป็นการกล่าวหาแบบแผ่นเสียงตกร่องมาหลายปี มีการใส่ร้ายด้วยข้อมูลเท็จ และนายใหญ่จากดูไบยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานแม้แต่น้อย

ก่อนหน้านี้ นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2556 เรื่องพ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวถือหุ้นใน ปตท. โดยระบุว่า ตามที่มีกระบวนการเผยแพร่ข่าวเท็จอย่างเป็นระบบในสื่อบางฉบับและในโซเชียลมีเดีย กล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ถือหุ้นใน ปตท. และเป็นผู้ทำให้ราคาน้ำมันในไทยแพงขึ้นนั้น ตนขอปฏิเสธข้อกล่าวหานี้โดยสิ้นเชิง เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ไม่ได้ถือหุ้นใน ปตท. เลยแม้แต่หุ้นเดียว รวมทั้งไม่มีการลงทุนด้านพลังงาน ทั้งน้ำมันและแก๊ส ทั้งในไทยหรือในประเทศเพื่อนบ้าน

เมื่อวาทกรรมหลอกสาวกถูกเปิดโปงโดยผู้บริหารของ ปตท. นายนพดล ได้แก้ตัวโดยโบ้ยบ้ายไปว่า ตระกูลชินวัตรที่ถือครองหุ้น 0.002% นั้น อาจเป็นเครือญาติใหนตระกูลชินวัตรที่มีหลายคน เพราะส่วนตัวแล้วไม่สามารถไปตรวจสอบได้ทั้งหมดว่าใครถือหุ้นใดในหลักทรัพย์บ้าง

อย่างไรก็ตาม การปัดสวะทำไม่รู้ไม่ชี้ว่าใครในตระกูลชินวัตรถือหุ้นปตท. กลับยิ่งเพิ่มข้อสงสัยมากยิ่ง กระทั่งต่อมา เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2556 นายนพดล จึงออกมาแถลงกรณีที่นายไพรินทร์ ออกมาเปิดเผยถึงการถือหุ้นของครอบครัวชินวัตรว่า มีการถือหุ้นอยู่ใน ปตท. 67,800 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 0.002 เปอร์เซ็นตของผู้ถือหุ้นรายย่อยทั้งหมดว่า การออกมาเปิดเผยดังกล่าวนั้น ไม่ถูกต้อง และยืนยันว่าครอบครัวของอดีตนายกรัฐมนตรีไม่ได้มีการถือหุ้นอยู่ใน ปตท.
แต่ยอมรับว่า บุคคลที่เคยมีการถือหุ้นอยู่ใน ปตท. และเกี่ยวข้องกับอดีตนายกรัฐมนตรี คือ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว ซึ่งมีการถือหุ้นจำนวน 4,100 หุ้น และได้มีการขายไปหมดแล้ว

ส่วนรายชื่อ นามสกุลชินวัตร 3 คน ดามาพงศ์ 1 คน ณ ป้อมเพชร 2 คน และวงศ์สวัสดิ์ อีก 2 คน ที่มีชื่ออยู่ในการถือหุ้นของ ปตท. รวมอยู่ใน 67,800 หุ้น นายนพดล ยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับครอบครัวของอดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัวของอดีตนายกรัฐมนตรี รู้จักแค่เพียงคนเดียว คือ นายพอพงษ์ ชินวัตร บุตรชายของนายพายัพ ชินวัตร น้องชายของอดีตนายกรัฐมนตรี ส่วนที่เหลือเชื่อว่า เป็นเพียงบุคคลที่มีนามสกุลเหมือนกันเท่านั้น และย้ำว่าหากมีใครพบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ถือหุ้นในปตท.จะมอบรางวัลให้ 100 ล้านบาท

เหตุที่ผู้บริหารสูงสุดของปตท. ออกโรงมาแถลงข่าวด้วยตนเอง ซึ่งปกติเป็นเรื่องที่ผู้บริหาร ปตท. ไม่ได้ให้น้ำหนักความสำคัญแต่อย่างใดนั้น เป็นเพราะมีการโจมตี ปตท.ผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียอย่างหนักหน่วงในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างการถือหุ้นในปตท. ผ่านทางนอมินีหรือตัวแทนที่มักถูกเรียกว่าฝรั่งหัวดำ และความสนใจเข้ามาลงทุนด้านพลังงานของพ.ต.ท.ทักษิณ และพวกพ้องวงศ์วานว่านเครือชินวัตร กับราคาพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซฯ ที่ขายในราคาแพง ซึ่งสังคมออนไลน์ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นการทำกำไรเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้น โดยมีการแชร์และกดไลท์กันระเบิดเทิดเถิง จนซีอีโอปตท.ก้นร้อน

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของปตท. ออกมาแก้ต่างด้วยเหตุผลเดิมๆ ว่า ข้อมูลที่เผยแพร่กันในสังคมออนไลน์นั้น มีการบิดเบือนข้อมูล ไม่ถูกต้องและเป็นประเด็นเดิมน่าจะมีเจตนาอื่นๆ แอบแฝง โดยยืนยันว่า ปตท.ในฐานะองค์กรของรัฐมุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ไม่ใช่แค่ใช้พลังงานราคาถูก แต่ต้องการให้คนไทยได้ใช้พลังงานในราคาที่สมเหตุสมผลในอีก 10-20 ปีข้างหน้า

ราคาพลังงานที่สมเหตุสมผลของปตท.ในที่นี้ก็คือ ราคาตลาดโลก ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีใครโต้แย้งโดยคิดว่าเป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรมดีแล้ว แต่วันนี้เป็นประเด็นที่สาธารณชนมีคำถาม เมื่อขุดก๊าซฯ จากอ่าวไทย ซึ่งถือเป็นสมบัติของชาติแล้วทำไมต้องขายแพงเท่าตลาดโลก ดังที่ นางสาวรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ ตั้งข้อสงสัยในเชิงเปรียบเทียบว่า ผลไม้ในสวนของเราเองทำไมต้องซื้อขายกันในราคาตลาดโลก จะลดต่ำลงมาไม่ได้หรืออย่างไร ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไปหาซื้อเอาจากตลาดโลกแล้วเก็บสมบัติขุมพลังงานในอ่าวไทยไว้ให้ลูกหลานไม่ดีกว่าหรือ?

ซีอีโอของปตท.ยังให้เหตุผลในประเด็นคนไทยใช้น้ำมันแพงว่า เพราะราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ใช้ในประเทศมีการรวมภาษีต่างๆ คิดเป็น 29% ของราคาขายปลีก แต่การส่งออกน้ำมันจากไทยจะไม่รวมภาษีทำให้ราคาส่งออกถูกกว่าราคาขายปลีกในประเทศ หากเรียกร้องให้คนไทยใช้พลังงานในราคาถูกจะทำให้เกิดการใช้อย่างฟุ่มเฟือย ไม่ประหยัด การที่ราคาขายปลีกน้ำมันแพงในทัศนะของผู้บริหารปตท. จึงถือเป็นการช่วยชาติประหยัด การประชาชนถูกรีดภาษีน้ำมันเพื่อไปพัฒนาประเทศ (และโกงกินกัน) เป็นสิ่งถูกต้องดีแล้ว

แต่เรื่องที่ซีอีโอปตท. ไม่พูดถึงคือ ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศอิงราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์บวกค่าโสหุ้ย เช่น ค่าขนส่ง ค่าปรับปรุงคุณภาพจากมาตรฐานสิงคโปร์เป็นมาตรฐานไทย ค่าประกันภัยการขนส่งจากสิงคโปร์มาไทย ซึ่งเป็นต้นทุนที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะโรงกลั่นน้ำมันตั้งอยู่ในไทย การผลิตก็ได้คุณภาพมาตรฐานอยู่แล้ว ไม่นับ “ค่าการตลาด” (ค่าสารปรับปรุงคุณภาพ + ค่าขนส่ง + ค่าส่งเสริมการตลาด + ค่าผลตอบแทนการดำเนินธุรกิจ) ที่รัฐบาลปล่อยให้บริษัทน้ำมันล่อกันเองจนบางช่วงอยู่ในระดับสูงเกิน โดยเฉพาะเบนซิน ซึ่งบางเวลาค่าการตลาดขึ้นไปถึง 7-8 บาทต่อลิตร

ส่วนประเด็นปตท.มีกำไรแสนล้านบาท เพราะขายน้ำมันแพงนั้น นายไพรินทร์ ชี้แจงว่า ปตท.มียอดขายน้ำมันผ่านปั๊มปีละ 3 แสนกว่าล้านบาท โดยปตท.มีส่วนแบ่งตลาดค้าปลีก 47-48% และธุรกิจน้ำมันมีกำไร 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งมาจากกำไรธุรกิจนอนออยล์ (ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน) ได้แก่ ร้านกาแฟอเมซอน คิดเป็นสัดส่วน 30% ทั้งนี้ โครงสร้างกำไรของปตท. 1 แสนล้านบาท มาจากการดำเนินธุรกิจของปตท.เอง คิดเป็น 43% ของกำไรทั้งหมด ที่เหลือมาจากการรับรู้รายได้ของบริษัทลูก ได้แก่ ปตท.สผ. 35% ธุรกิจปิโตรเคมี 18% ธุรกิจการกลั่น 8% และอื่นๆ 4% หากเทียบกำไรสุทธิปตท.กับยอดขายทั้งหมดเกือบ 3 ล้านล้านบาท ถือว่ามีอัตราผลตอบแทนต่ำมาก โดยปี 2554 มีอัตราผลตอบแทนต่อรายได้แค่ 4.25% เมื่อเทียบกับบริษัทน้ำมันต่างชาติ อาทิ ปิโตรนาส มาเลเซียที่มีผลตอบแทนถึง 22%

ฟังดูแล้ว น่าเชื่ออย่างยิ่งว่า ร้านกาแฟอเมซอน ทำรายได้อย่างงดงามถึง 30% ของยอดกำไร 1.3 หมื่นล้าน คือ 3,900 ล้านบาท

ผู้บริหารปตท. ยังโอดว่า ในปีที่ผ่านมา ปตท.แบกรับภาระขาดทุนเกือบ 2 หมื่นล้านบาทสำหรับเอ็นจีวี และขาดทุนอีก 1 หมื่นล้านบาทในแอลพีจี ถือว่าเป็นการอุดหนุนราคาให้กับผู้ใช้รถเพียงไม่กี่แสนราย ซึ่งเป็นการพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะภาระขาดทุนนี้ มีการชดเชยให้ปตท.อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยโดยกองทุนน้ำมัน ซึ่งเป็นเงินที่รีดไปจากประชาชนผู้ใช้น้ำมันอีกทอดหนึ่ง ปตท.ไม่ได้ควักเนื้อหรือขาดรายได้แม้แต่สตางค์แดงเดียว

"ตนก็เข้าใจดีว่าการโจมตีปตท.บ่อยครั้ง เนื่องจากเป็นองค์กรที่มีขนาดใหญ่ แต่การให้ข้อมูลที่บิดเบือน ไม่ถูกต้องและเป็นประเด็นเดิมนั้น ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ แต่บริษัทฯไม่มีนโยบายที่จะฟ้องร้องเป็นคดีความ เพื่อไม่ต้องการเห็นสังคมแตกแยกกว่าที่เป็นอยู่ เพียงต้องการให้ผู้บริโภคใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร รู้เท่าทัน ท้ายสุดความจริงก็จะปรากฏ" นายไพรินทร์ กล่าวย้ำ สำหรับข้อเรียกร้องการทวงคืนปตท.นั้น เดิมก่อนการแปรรูปปตท. ก็มีความเป็นห่วงว่าจะถูกการเมืองครอบงำ ทำให้มีการแปรรูปโดยเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้ปตท.มีผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 5 หมื่นกว่าราย รวมทั้งกระทรวงการคลัง “หากจะทวงคืนปตท.ให้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐเพียงผู้เดียวอีกครั้ง ผมก็ไม่มีปัญหา เป็นเรื่องที่คนไทยจะต้องเป็นผู้ที่ตัดสินใจ”

การแฉและแชร์ข้อมูลปตท.ผ่านสื่อออนไลน์ มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการตั้ง “กลุ่มทวงคืนปตท.” หรือ “กลุ่มทวงคืนพลังงานไทย” และล่าสุด รายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เมื่อคืนวันที่ 15 มีนาคม 2556 นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ออกมาแฉเรื่องปตท.อีกครั้ง โดยขึ้นพาดหัว “แฉฝรั่งหัวดำ ถือหุ้นปตท.ตัวการทำน้ำมันแพง” โดยเล่าย้อนไปถึงก่อนที่จะนำปตท.เข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะต้องมีการจัดสรรหุ้น ต้องมีการประเมินทรัพย์สิน ถ้าทรัพย์สินสูง ราคาหุ้นก็สูง ถ้าทรัพย์สินต่ำ ราคาหุ้นก็ต่ำ เขาเลยจงใจทำราคาทรัพย์สินให้มันต่ำ ราคาหุ้นเลยอยู่แค่ 35 บาท

หลังจากนั้นภายใน 1 ปี มันขึ้นเป็น 300 กว่าบาท อันนั้นยังไม่เท่าไหร่ ทุนจดทะเบียน ปตท.ครั้งแรก 2 พันล้านหุ้น หุ้นละ 10 บาท ก็เท่ากับ 2 หมื่นล้านบาท เขาขายหุ้นในตลาดไอพีโอ 35 บาท แต่มันจัดสรรหุ้น 25 ล้านหุ้น ให้ผู้มีอุปการะคุณในราคา 10 บาท และยังจัดสรรหุ้น 320 ล้านหุ้น ให้ต่างชาติ 320 ล้านหุ้นเท่ากับ 17% ของมูลค่าหุ้น ปตท. แล้วต่างชาติคือใคร เป็นฝรั่งหัวดำทั้งนั้น ที่ไปอยู่แถวสิงคโปร์ ฮ่องกง แล้วใช้ฝรั่งเป็นนอมินีซื้อในราคา 35 บาท

"หลังจากนั้นพอเริ่มขายหุ้นก็มีการตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นจากพนักงาน และกว้านซื้อหุ้นในตลาด เพราะฉะนั้น 320 ล้านหุ้น ถ้าตนเดาไม่ผิดวันนี้ต้องมีประมาณ 700 ล้านหุ้นแล้ว ถ้าคิดก็ประมาณ 35% ของมูลค่า ปตท. ของมูลค่า 2,000 ล้านหุ้นของ ปตท. แล้วฝรั่งหัวดำทั้งนั้น นอมินีหมด แล้วผมจะบอกให้รู้อยู่ในกลุ่มคนไม่กี่คนเอง คนๆ หนึ่งก็รู้อยู่แล้วว่าใคร" นายสนธิ ระบุ

แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า 12 ปีที่ปตท.แปรรูป ได้กำไร 9 แสนล้านบาท แล้วอย่าลืม 320 ล้านหุ้น บวกกับที่ซื้อเพิ่มอีก เป็น 700 ล้านหุ้น ตีง่ายๆ กำไร 9 แสนล้านบาท ฝรั่งหัวดำได้ไป 300,000 ล้านบาท นี่คือคำตอบว่าทำไมน้ำมันบ้านเราถึงแพง เพราะมันต้องทำทุกอย่างให้แพง เพื่อให้ ปตท. กำไรมากขึ้น แล้วเข้ากระเป๋าตัวเอง

นอกจากนี้ ปตท. มีบริษัทลูก แล้ววิธีการคือ ปตท.จะไปถือหุ้นในบริษัทย่อย สมมติมันถือ 30 เปอร์เซ็นต์ อีก 70 เปอร์เซ็นต์ของใคร อีก 70 เปอร์เซ็นต์ ก็เอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ขายให้พวกฝรั่งหัวดำ เท่ากับพวกที่ถือหุ้นอยู่ 320 ล้านหุ้น หรือ 700 ล้านหุ้น มาถือตรงนี้ด้วย แล้วทีนี้มันก็ผ่องกำไร สมมติว่าราคาที่ต้องจ้างบริษัทย่อย 10 บาท มันก็จ่ายเป็นค่าจ้าง 100 บาทแทน ให้มันแพงขึ้น เพื่อให้งบของ ปตท. ที่เป็นส่วนที่ได้จากบริษัทย่อยมันน้อยลง แต่ให้กำไรมาปูดที่บริษัทย่อย แล้วพวกมันก็กินที่บริษัทย่อย เป็นการรวยซ้ำรวยซาก

นายสนธิ กล่าวต่อด้วยว่า มันเถียงตัวเลขไม่ออก เงินบาทเเข็งขึ้นเรื่อยๆ แต่ทำไมน้ำมันเราแพงขึ้นเรื่อยๆ แล้วส่วนต่างของน้ำมันสมัยที่อัตราแลกเปลี่ยน 37-38 บาท เงินส่วนต่างระหว่างอัตราน้ำมันของสิงคโปร์กับเมืองไทยต่างกันแค่ลิตรละ 10 บาท แต่พอมาปี 2555 อัตราแลกเปลี่ยนเรา 31 บาท แต่ส่วนต่างของน้ำมันเราเพิ่มขึ้นเป็น 21 บาท เอาแค่ตัวเลขนี้ก็รู้แล้วว่ามันไปกินกันตรงบริษัทลูกเพื่อให้ปตท.ตัวแม่กำไรน้อยลง เพราะเคยพลาดโดนโจมตีเรื่องกำไรแสนกว่าล้าน เลยโยกบัญชีลงมาข้างล่าง เพราะไอ้พวกฝรั่งหัวดำมันอยู่ข้างล่างด้วย

“แต่ว่านโยบายพลังงานแห่งชาติมันเป็นการสมรู้ร่วมคิดกัน ระหว่างข้าราชการประจำที่ไม่ต้องการจะปกป้องผลประโยชน์ของชาติ บางคนเป็นปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม แล้วมานั่งปลัดกระทรวงพลังงาน มานั่ง ปตท. มานั่งอยู่คณะกรรมการกำหนดราคา และไปนั่งอยู่คณะกรรมการพลังงานแห่งชาติ คือทั้งหมดพวกเดียวกันในการกำหนดนโยบายกำหนดราคา”

แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ยังเชื่อมโยงเรื่องพลังงานของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยว่า ต้องดูพม่า เขมร มันเชื่อมกัน นั่นคือทำไมถึงเกิดทวาย และ ปตท. กำลังจะกลายเป็นมาเฟียที่ใครเข้าไปคุมแล้วสามารถคุมประเทศไทยได้ เพราะบางคนในขณะนี้แอบทำธุรกิจกับ ปตท. ในฐานะเป็นนักการเมืองที่เคยคุม ปตท. อยู่ กรณีแก๊สโซฮอล์ ซึ่งทำจากเอทานอล มีเอกชนซึ่งเป็นของนักการเมืองที่เคยคุม ปตท.ทำให้ ปตท.ต้องมาลงทุนกับบริษัทตัวเองที่ทำเอทานอลและขายให้ ปตท.ในราคาแพง

“โครงการ ปตท. ไม่มีอันไหนต่ำกว่า 1,000 - 2,000 ล้านบาท ขี้หมูราขี้หมาแห้งก็ 5,000-6,000 ล้าน แล้วคิดว่าใครได้ บริษัทนักการเมืองทั้งนั้น โดยมันได้กันโดยวิธีที่ปตท.ผูกขาดการสั่งน้ำมันเข้าในประเทศไทยแต่ผู้เดียว ผูกขาดการใช้ท่อแก๊ส มันมันมีเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว สั่งเท่าไหร่ก็ตามเงินเปอร์เซ็นต์ที่จ่ายให้ไปพักไว้ที่บัญชีเมืองนอก ไม่ได้มาปรากฏในงบของ ปตท. แล้วงบบัญชีเมืองนอกก็จ่ายให้นักการเมือง”

ข้อสงสัยในการดำเนินธุรกิจ ปตท. เป็นเรื่องยากเสียแล้วที่ปตท.จะทำให้เรื่องเงียบหายไปจากที่เคยสามารถทำได้ด้วยการใช้งบโฆษณาประชาสัมพันธ์ ปีละพันสองพันล้านมาปิดปากสื่อ เพราะเมื่อโลกของเทคโนโลยีการสื่อสารเปิดกว้างขึ้น ไม่มีใครสามารถผูกขาดความจริงเพียงหนึ่งเดียวอีกต่อไป ข้อสงสัยต่างๆ นาๆ มีแต่ต้องใช้ความจริงและจุดยืนเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนโดยรวมเท่านั้นจึงจะทำให้ได้รับการยอมรับ

การเฉไฉ ของปตท.ที่ไม่ยอมขึ้นเวทีดีเบต โต้ข้อมูลความจริงกันทุกเม็ดอย่างที่ ส.ว. รสนา โตสิตระกูล เรียกร้องและขอให้สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เป็นตัวกลางเปิดเวทีระหว่างภาคประชาชนกับปตท.และกระทรวงพลังงาน เพื่อ “ตอบโจทย์” พลังงานของประเทศไทยให้คลายความสงสัย แต่ได้รับการปฏิเสธนั้น มีแต่จะเพิ่มข้อกังขามากขึ้นไปอีก

กังขาทั้งกับ ปตท. ที่ทำตัวเสมือนให้สังคมเข้าใจว่าคือโจรใส่สูทปล้นประชาชนกลางแดด ทั้งสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ที่เอาเงินภาษีไปดำเนินการปีละ 2-3 พันล้านบาท แต่ไม่สนใจตอบโจทย์ให้ประชาชน กลับทะลึ่งเปิดเวทีให้พวกอยากล้มเจ้า และกระทรวงพลังงาน ที่มีบทบาทในการออกแบบโครงสร้างการกำกับดูแลกิจการพลังงานของประเทศ แต่กลับทำให้โครงสร้างการกำกับฯ มั่วและมัวเมาด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนจนไม่รู้ว่าอะไรคือประโยชน์ส่วนตัว อะไรคือประโยชน์ประชาชนส่วนรวม

เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่าหวังปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ และอย่าลืมว่าเครือข่ายสังคมออนไลน์ มีอิทธิพลมากขึ้นทุกวัน
กำลังโหลดความคิดเห็น