ศึกชิงผู้ว่าฯ กทม.ที่สองพรรคใหญ่เดิมพันหมดหน้าตักชนิดแพ้ไม่ได้กันทั้งคู่ พรรคหนึ่งหลังพิงฝาสู้ยิบตาเพราะอยู่ในฐานะฝ่ายค้าน หากเสียฐานกรุงเทพฯ ให้คู่แข่งอีกเท่ากับจบสิ้น ขณะที่อีกพรรคหนึ่งลำพองลงชิงชัยเพื่อครองอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดชนิดไร้รอยต่อ กำลังถูกท้าทายจากกลุ่มผู้สมัครอิสระที่กระตุ้นคนกรุงปลดแอกจากพรรคการเมือง ไม่ตกอยู่ภายใต้คำข่มขู่ และแผนกินรวบประเทศไทย
เป็นเพราะสนามเลือกตั้งกรุงเทพฯ เป็นสนามปราบเซียนที่ยากจะคาดเดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังเงียบที่ยังไม่ชัดเจนจะเทคะแนนให้กับผู้สมัครรายใดซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 40 - 50% ถือเป็นตัวแปรสำคัญ และเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต่างมีความหวังว่า มีสิทธิ์ลุ้นถึงนาทีสุดท้าย ยิ่งโกล้โค้งสุดท้ายมากขึ้นเท่าไหร่ หากสามารถสร้างกระแสความนิยมให้จับใจคนกรุงเทพฯได้โอกาสพลิกล็อกก็มีสูง
ด้วยเหตุนี้ ผู้สมัครอิสระ โดยเฉพาะ 3 คนสำคัญ คือ นายโฆษิต สุวินิจจิต ผู้สมัครเบอร์ 10, พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวช ผู้สมัครเบอร์11และนายสุหฤท สยามวาลา ผู้สมัครเบอร์ 17 ที่กำลังรุกหนัก ซัดเต็มๆ ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และเพื่อไทย จึงสร้างความวิตกให้กับสองพรรคใหญ่ไม่น้อย เพราะการเล่นเกมตัดแต้ม อาจส่งผลถึงการแพ้ชนะของสองพรรคการเมืองใหญ่โดยไม่คาดฝัน ยิ่งประชาธิปัตย์นั้นออกอาการคร่ำครวญแล้วคร่ำครวญอีกว่า ผู้สมัครอิสระนั้นเป็นพวกมีเป้าหมายมาเพื่อตัดคะแนนหวังผลให้ตนเองพ่ายแพ้
ความจริงแล้ว ประชาธิปัตย์ ก็น่าจะรู้อยู่เต็มอกว่า ที่ผ่านมานั้นมีผลงานน่าประทับใจชาวกทม.มากน้อยแค่ไหน แต่ละเรื่องที่หยิบมาหาเสียงล้วนแต่มีข้อครหา ติฉินนินทาตามมาทั้งนั้น เช่น เรื่องการก่อสร้างอุโมงค์ยักษ์เพิ่มเติม ทั้งที่ของเดิมที่สร้างไปแล้วก็ยังเป็นปัญหาและมีเรื่องฉาวโฉ่เมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่และฝนกระหน่ำกรุงเทพฯ เมื่อไม่นานมานี้เอง
คำขวัญที่ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัทธ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 16 ชูเป็นจุดขาย "ทั้งชีวิตเราดูแล" และ "ทำจริง ทำแล้ว และจะทำต่อ" จะยังกินใจคนกรุงฯ จนรีบหย่อนบัตรลงคะแนนเสียงให้หรือไม่ อีกไม่นานก็คงรู้ผล แม้ว่าเวลานี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะมั่นใจว่า ศึกครั้งนี้ "คุณชายสุขุมพันธุ์" ชนะแน่ แต่ต้องเหนื่อยหน่อยเท่านั้นเอง
ส่วนเพื่อไทยนั้น ถือดีว่าเป็นพรรครัฐบาล สามารถระดมสรรพกำลังจากทุกภาคส่วนมาช่วย พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัคร เบอร์ 9 ของพรรค ได้อย่างสะดวกโยธิน แม้แต่การสร้างกระแส ปั่นกระแส โดยใช้โพลการเมืองข่มขวัญคู่ต่อสู้และดึงคะแนนนิยม แต่การชูสโลแกน "สร้างอนาคตกรุงเทพฯร่วมกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ" กำลังถูกตีความเป็นแผนกินรวบประเทศไทย กลายเป็นจุดอ่อนของพรรคเพื่อไทย เพราะการส่อแสดงถึงการผูกขาดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด การใช้อำนาจบาตรใหญ่ ปกป้องพวกพ้องยิ่งกว่าความถูกต้อง เป็นสิ่งที่คนกรุงเทพฯ รังเกียจมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ผู้สมัครเบอร์ 11 ได้หยิบเอาประเด็นการรวมหัวกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อของพล.ต.อ.พงศพัศ มาขึ้นป้ายในช่วงใกล้โค้งสุดท้าย โดยข้อความบนป้ายเขียนว่า "หนึ่งเสียงของท่าน ต้านคอรัปชั่นแบบไร้รอยต่อ...ได้!” และอีกป้ายเขียนว่า “หนึ่งเสียงของท่าน หยุดคอรัปชั่นกทม. หยุดกินรวบประทศไทย..ได้!” เรียกได้ว่าซัดผู้สมัครเบอร์ 9 เข้าเต็มๆ ทั้งที่ประชาธิปัตย์ ระแวงว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ นั้น รับงานทักษิณมาตัดคะแนนตนเอง
เรื่องการรับงานมาตัดคะแนนนั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยืนยันที่จะตอบข้อสงสัยว่า "ไม่มีใครส่งผมลง ไม่มีใครหนุนหลัง ผมอาสามารับใช้ประชาชนด้วยประสบการณ์ในชีวิตการทำงานทั้งหมด ครั้งนี้เป็นภารกิจสุดท้ายที่ผมจะทำให้คนกรุงเทพฯ เพื่อนำพากรุงเทพให้เป็นเมืองน่าอยู่ในทุกๆ ด้าน"
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังชำแหละการเมืองมักจะเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ คนกรุงเทพฯ จะยอมให้พรรคการเมืองมาจับเราไว้เป็นตัวประกันอีกต่อไปหรือไม่ กรุงเทพฯ ต้องปลอดจากการเมือง ไม่ใช่ให้การเมืองมาครอบงำ ถ้าผมได้เป็นผู้ว่าแล้วมีหลักฐานว่าผมโกง จับผมเข้าคุกได้เลย "ผมขอรับใช้พี่น้องประชาชน ไม่ขอรับใช้นักการเมืองเด็ดขาดครับ"
ผู้สมัคร เบอร์ 11 ยังกล่าวถึงเหตุผลทำไมต้องเลือก เสรีพิศุทธ์ ว่า "ถ้าเลือกประชาธิปัตย์ ก็ทะเลาะกับเพื่อไทย ถ้าเลือกเพื่อไทยท่านตรวจสอบได้หรือไม่ และผู้สมัครอิสระท่านสามารถเลือกคนไหนก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นผม .... แต่ผมตรวจสอบได้ ถ้าผมทำอะไรผิดพลาดหรือไม่ชอบมาพากล ฟ้องผมได้ ผมให้ตรวจสอบหมดทุกประเด็น และผมไม่ทะเลาะกับใคร"
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้ขายนโยบายทำได้จริงให้กับคนกรุงเทพฯ ทั้งสร้างรถไฟลอยฟ้า รถไฟใต้ดินเพิ่มขึ้น รถเมล์แอร์ฟรี จัดระเบียบหาบเร่แผงลอย ขจัดน้ำเน่าคูคลอง เอาสายไฟฟ้าลงใต้ดิน สร้างและพัฒนาอาชีพให้ประชาชน ดูแลความปลอดภัยติดตั้งกล้องวงจรปิดทั่วทุกพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นต้น
ขณะที่นายโฆษิต สุวินิจจิต หมายเลข 10 ซึ่งชูภาพในแคมเปญหาเสียง "นักบริหาร ประสานสิบทิศ" และนโยบาย "กรุงเทพฯ 24ชั่วโมง" ที่แยกเป็นกรุงเทพฯ บริการ 24 ชั่วโมง ผู้ว่าฯ บริหาร 24 ชั่วโมง กรุงเทพฯปลอดภัย 24 ชั่วโมง กรุงเทพฯ ทำมาหากิน 24 ชั่วโมง กรุงเทพฯ เดินทางได้ 24 ชั่วโมง กรุงเทพฯ เรียนรู้ 24 ชั่วโมง และกรุงเทพฯ สุขภาพดี 24 ชั่วโมง ซึ่งจะว่าไปแล้วกรุงเทพฯ ขับเคลื่อน 24 ชั่วโมงอยู่แล้วโดยธรรมชาติ เช่น ปากคลองตลาด ตลาดยิ่งเจริญ เพียงแต่ขาดการบริหารจัดการที่ดี จึงต้องวางแผนการบริหารงาน 24 ชั่วโมง สอดคล้องกับความเป็นจริงของวิถีชีวิตของกรุงเทพฯ เป็นการเพิ่มงาน เพิ่มรายได้ จะได้ลดปัญหาทางสังคมที่มีสาเหตุมาจากปัญหาเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหากรุงเทพฯ วั้นนี้ต้องแก้ที่ปัญหาเศรษฐกิจ ทำโครงการเติมเงินใส่ครอบครัวประชาชน เมื่อครอบครัวมีรายได้ดีขึ้น สังคมก็จะดีขึ้น การเมืองก็จะดีขึ้นตามไปด้วย
"ทุกวันนี้ มีผู้ว่าฯ คนไหนพูดแบบที่ผมกำลังจะทำบ้าง กระตุ้นเศรษฐกิจกรุงเทพฯ เพราะว่าเขาไม่ใช่นักบริหาร เขาไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ มีแต่นักการเมือง คิดแค่ว่าจะทำอย่างไรให้ได้คะแนนเสียง ทำอย่างไรให้กลับเข้าไปมีอำนาจ คิดแต่จะหาเสียงอย่างเดียว แจกกันแหลก" ผู้สมัครผู้ว่าฯ กรุงเทพ หมายเลข 10 ให้สัมภาษณ์ "ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์"
เขายังให้เหตุผลที่คนกรุงเทพฯ ควรต้องเลือกโฆษิต ว่า เพราะหากประชาชนเลือกพรรคการเมืองเหมือนเดิม ก็จะเจอปัญหาแบบเดิม จะต่อหรือไร้รอยต่อมันไม่จริงทั้งนั้น คนไปเชื่อไปหลงทาง คำพูดไม่เลือกเรา เขามาแน่ นี่เป็นการหยิบเอาความขัดแย้งระดับชาติมาใส่คนกรุงเทพฯ สมมุติถ้าเลือกประชาธิปัตย์ ก็ไม่สามารถทำงานร่วมกับเพื่อไทยได้ ถ้าเลือกเพื่อไทยก็จะเจอด่านแรกอย่างสภาฯ กทม. ซ้ำจะมีม็อบไล่ผู้ว่าฯ กทม. ความขัดแย้งจะขยายตัวออกไปอีก วันนี้คนกรุงเทพฯ จำเป็นต้องเลือกผู้สมัครอิสระที่มีสามารถประสานได้ทุกฝ่าย เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ วิสัยทัศน์ดี
ส่วนที่มีข้อกังขาว่า เป็นนอมินีหรืออะไหล่ของใครบางคนหรือไม่ รวมทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น ก็ต้องขอบอกว่า ตนเองเป็นนอนิมีของคนที่เบื่อการเมือง เป็นนอมินีของพลังเงียบ ถ้ามองว่าการลงเลือกตั้งครั้งนี้มาตัดคะแนนเสียงของประชาธิปัตย์หรือไม่ ก็ต้องบอกว่า ฝ่ายที่พูดเช่นนั้น "กลัวผม เพราะผมลงมาสมัครจะเป็นการตัดเสียงทุกฝ่าย"
อีกหนึ่งผู้สมัครอิสระที่แนวสุดๆ คือ สุหฤท สยามวาลา ผู้สมัครอิสระ หมายเลข 17 ท้าทายกรอบคิดเดิมๆ ของคนกรุงเทพฯ ทั้งบุคลิก วิธีคิด การหาเสียง แปลกแหวกแนวอย่างที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
สุหฤท เริ่มต้นด้วยโครงการเดิน 1 ล้านก้าวเพื่อเข้าถึงปัญหาของคนกรุงเทพฯ ในทุกพื้นที่ และขอหนึ่งล้านเสียงเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯไปพร้อมๆ กัน พร้อมกับการชูสโลแกน "กรุงเทพฯ สุดฤทธิ์ ร่วมกับสุหฤท สร้างเซอร์ไพรส์" โดยการเดินหาเสียงจะนำเสนอ 12 นโยบาย เป็นหลัก และให้ประชาชนออกมาร่วมกันคิด ร่วมกันพูดคุยเสนอปัญหาว่าจะแก้ไขอะไรบ้าง
ตัวอย่าง 12 นโยบาย เช่น ทุกชีวิตต้องปลอดภัยบนทางเท้า, เริ่มแก้ปัญหาการจราจรจากศูนย์ กล้าที่จะช่วยกันดูแลระเบียบจราจร, ขยะแลกสวนสาธารณะ, 50 เขต 50 เสน่ห์, ดูแลโรงเรียนด้วยหัวใจ, โฆษณาสีเขียว, จักรยานไม่ใช่ลูกเมียน้อย, เครือข่ายการเดินสาธารณะ, ยกระดับหน่วยกู้ภัยกรุงเทพฯ และเมืองที่ผู้หญิงอยู่อย่างมีความสุข
สุหฤท มีความหวังกับคนจำนวนกว่า 2 ล้านที่ไม่ออกไปใช้สิทธิ์ คนพวกนี้อาจเป็นคนรุ่นใหม่ คนที่หมดหวังกับการเมือง คนกลุ่มนี้คือโอกาสของผู้สมัครอิสระ ขอแค่อีก 1 ล้านคนออกมาใช้สิทธิ์ ก้าวออกมาเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯไปด้วยกัน จะเป็นกลุ่มไหน สีไหน ไม่เป็นไร
ผู้สมัครอิสระ เบอร์ 17 กระแทกกลางใจคนกรุงเทพฯ ว่า คนกรุงเทพฯ ต้องปลดแอกจากความกลัว วันนี้กรุงเทพฯ ต้องเปลี่ยนแปลง ต้องตัดสินแล้วว่าจะเลือกที่ผู้สมัคร หรือนโยบาย หรือจะเลือกด้วยความกลัวแทน "ผมเบื่อการโจมตีกันไปมา ไม่เว้นแม้แต่ตัวเองยังถูกมองว่าเป็นนอมินีของใคร โดนหาว่าถูกจ้างมาทำให้เสียงแตก ใครจะหาว่าอย่างไรคงไม่สน จะเดินทางอย่างเดียวโดยไม่ไปติดหล่มความขัดแย้งของใคร"
"2 ล้านเสียงที่ไม่ได้ออกไปใช้สิทธิ์ จงออกมาครับ เพราะคะแนนของท่านสามารถเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ ได้" สุหฤท เรียกร้องเสียงจากพลังเงียบ
เพราะไม่เช่นนั้น หากคนกรุงเทพฯ ยังเชื่อแบบเดิม เลือกแบบเดิม สุดท้ายจะได้กรุงเทพฯ แบบเดิม