พันธบัตรยุคยิ่งลักษณ์ ยังไม่โดนใจคนวัยทำงาน เหตุดอกเบี้ยไม่จูงใจแถมยาวถึง 6 ปี คนแบงก์คาดขายอืด เหตุแบงก์พาณิชย์ระดมเงินไปก่อนหน้าดอกเบี้ยสูงถึง 4% และฝากสั้นกว่า แถมรัฐขยายคุ้มครองเงินฝากยังอยู่ที่ 50 ล้านบาท ทำคนเมิน เชื่อเหมาะสำหรับคนสูงวัยที่มีเงินเย็น ไม่ชอบโยกเงินบ่อย ประเมินหลังจากนี้แบงก์พาณิชย์ออกโปรโมชันต่อ
ต้นเดือนกันยายนระหว่าง 3-14 กันยายน 2555 กระทรวงการคลังได้มีการเสนอขายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษของกระทรวงการคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 อายุ 6 ปี วงเงินไม่เกิน 8 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.99% จ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง คือเดือนมีนาคมและกันยายน วงเงินซื้อขั้นต่ำ 1 หน่วย หรือ 1,000 บาท การจำหน่ายแบ่งเป็น 3 รอบ โดยในรอบแรกจะให้สิทธิ์กับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปก่อน จำกัดซื้อสูงสุดไม่เกิน 2,000 หน่วย หรือ 2 ล้านบาท
รอบที่ 2 เปิดให้ทั้งผู้มีสิทธิ์และอายุ 60 ปีขึ้นไปซื้อได้ในเงื่อนไขเดียวกับรอบแรก หากพันธบัตรยังเหลือในรอบที่ 3 จะไม่จำกัดวงเงินสูงสุดในการซื้อ จำหน่ายผ่านธนาคารพาณิชย์ 4 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ กรุงไทย ไทยพาณิชย์ และกสิกรไทย
พันธบัตรรุ่นนี้จะเป็นแบบไร้ใบตราสาร (Scripless) ดังนั้นหากผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะนำพันธบัตรไปเป็นหลักประกันให้กับหน่วยงานราชการและองค์กรของรัฐ เช่น การประกันทางศาล หรือการประกันไฟฟ้า และสามารถใช้พันธบัตรเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินหรือบุคคลอื่นได้ จะต้องติดต่อธนาคารตัวแทนจำหน่ายเพื่อขอถอนพันธบัตรจากระบบ Scripless โดยมีค่าธรรมเนียมการถอนพันธบัตร
Scripless ขอใช้จ่ายเพิ่ม
แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์กล่าวว่า พันธบัตรรุ่นนี้เป็นการออกมาเพื่อทดแทนพันธบัตรออมทรัพย์ 10 ปีที่ออกเมื่อปี 2545 ครบกำหนดเมื่อ 2 กันยายนที่ผ่านมา ครั้งนั้นดอกเบี้ยของพันธบัตรดังกล่าวอยู่ที่ 6.24% ถือว่าเป็นการรีไฟแนนซ์พันธบัตรรุ่นเดิม แต่ได้ดอกเบี้ยปัจจุบันที่ต่ำกว่า กระทรวงการคลังสามารถลดต้นทุนดอกเบี้ยลงได้ 36%
“จังหวะในการออกพันธบัตรดังกล่าว ถือเป็นช่วงปลอดระยะเวลาการรับฝากของธนาคารพาณิชย์ที่ออกโปรโมชันมาช่วงชิงเงินฝากไปก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่จะหมดเขตในสิ้นเดือนสิงหาคม ทำให้ช่วงระยะเวลาการขายพันธบัตรของกระทรวงการคลังชุดนี้มีคู่แข่งน้อย”
อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรชุดนี้ 3.99% เมื่อหักภาษี 15% แล้วผลตอบแทนสุทธิที่จะได้คือ 3.3915% กับระยะเวลาถือพันธบัตร 6 ปีถือว่าเป็นพันธบัตรระยะกลาง แต่สิ่งที่ผู้ต้องการซื้อพันธบัตรต้องทราบไว้คือรุ่นนี้จะเป็นแบบ Scripless คือไม่มีใบพันธบัตรมาให้กับผู้ซื้อเหมือนรุ่นก่อน หากมีความจำเป็นต้องใช้ตัวพันธบัตรเพื่อนำไปเป็นหลักประกันต่างๆ ต้องทำเรื่องขอพันธบัตรออกมาโดยเสียค่าธรรมเนียมทั้งส่วนของการถอนและต้องฝากกลับเข้าไปใหม่
ดอกเบี้ย 3.99% กับระยะเวลา 6 ปีถือว่านาน ตรงนี้บอกไม่ได้ว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะการกำหนดอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรในขณะนั้น บวกอีก 15% จากตัวภาษีที่จะต้องถูกหักแล้วนำมากำหนดเป็นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลค่อนข้างต่ำ
หากนำมาเปรียบเทียบกับเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทยมีเงินฝาก 22 เดือน ดอกเบี้ย 4% หรือธนาคารเกียรตินาคิน เงินฝาก 18 เดือน ดอกเบี้ย 4% เช่นเดียวกัน ถือว่าเป็นดอกเบี้ยที่สูงกว่าพันธบัตรเพียงเล็กน้อย แต่ด้วยระยะเวลาฝากที่สั้นกว่า อาจทำให้โดนใจคนมีเงินออมหลายราย ส่วนแบงก์อื่นๆ ก็มีผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ให้ผลตอบแทนลดหลั่นกันลงมาตามระยะเวลาและตามอันดับของธนาคาร
คาดขายอืด
ประเมินว่าพันธบัตรรุ่นนี้คงไม่คึกคักประเภทเปิดปุ๊บหมดปั๊บ ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากตัวอัตราผลตอบแทน 3.99% กับระยะเวลา 6 ปีนั้นค่อนข้างน้อย และก่อนหน้านี้ธนาคารพาณิชย์ได้แข่งกันระดมเงินฝากด้วยดอกเบี้ยพิเศษกันมาโดยตลอด เงินออมส่วนใหญ่ถูกธนาคารพาณิชย์ล็อกไว้แล้ว อีกทั้งก่อนหน้านี้รัฐบาลก็ไม่มีการแจ้งว่าจะมีพันธบัตรออกมาจำหน่ายให้กับประชาชนมาก่อน
ตามมาด้วยการขยายมาตรการคุ้มครองเงินฝากจาก 50 ล้านบาทลงมาเหลือ 1 ล้านบาทที่เดิมต้องใช้เมื่อ 11 สิงหาคมที่ผ่านมาออกไป ทำให้คนที่มีเงินออมไม่รู้สึกกังวลในเรื่องการฝากเงินไว้กับธนาคารพาณิชย์ไม่ว่าจะรายใหญ่หรือรายเล็ก เพราะถึงอย่างไรรัฐบาลก็ต้องค้ำประกันเงินฝากทุกแห่งที่ไม่เกิน 50 ล้านบาท
พันธบัตรรุ่นนี้จึงเหมาะกับผู้สูงอายุที่มีเงินเก็บและต้องการออมเงินระยะยาว ซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวก็ถือว่าไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป แต่การให้ดอกเบี้ยที่ 3.99% กับ 4% คือเพิ่มให้กับผู้ฝากอีกแค่ 0.01% นั้นไม่ได้มากนัก แต่จะทำให้การขายทำได้ง่ายขึ้น
อาจเป็นไปได้ที่พันธบัตรรุ่นนี้เป็นการไถ่ถอนพันธบัตรรุ่นเดิม ภาครัฐจึงยังไม่ได้เน้นในเรื่องการขายมากนัก แต่ในปีหน้าคาดว่าจะมีพันธบัตรรัฐบาลออกมาจำหน่ายอีก คราวนี้จะเป็นการระดมเงินเพื่อนำมาใช้จ่ายสำหรับการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้ และคงต้องรอดูอัตราดอกเบี้ยกันอีกครั้ง
การประเมินสถานการณ์ดอกเบี้ยในขณะนี้ทำได้ยาก เพราะตัวชี้ขาดจะอยู่ที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกทั้งฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป รวมไปถึงเศรษฐกิจของจีน หากสถานการณ์เลวร้ายทิศทางอัตราดอกเบี้ยย่อมเป็นขาลง แต่ถ้าดีขึ้นหรือทรงตัวดอกเบี้ยก็จะนิ่งและมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นได้
โปรโมชันแบงก์เตรียมออก
วงเงิน 8 หมื่นล้านบาทของพันธบัตรรุ่นนี้ ถือว่าเป็นคู่แข่งหนึ่งของการแย่งชิงเงินฝากจากธนาคารพาณิชย์ แต่ก็ไม่มากนัก เชื่อว่าเมื่อพ้นจากช่วงของการจำหน่ายพันธบัตรหมดลง ธนาคารพาณิชย์ก็จะหันมาออกโปรโมชันโดยให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษอีกเช่นเดิม เนื่องจากความต้องการสินเชื่อในเวลานี้มีมาก ทั้งการฟื้นฟูหลังน้ำท่วมของภาคธุรกิจและประชาชน รวมไปถึงสินเชื่อเพื่อขยายกิจการที่เริ่มขยายการลงทุนออกไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหาตลาดใหม่หรือลดต้นทุนการผลิตลงและสอดรับกับการเดินหน้าเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
สำหรับคนที่อยู่ในวัยทำงาน มีความคล่องตัวสูง ติดตามข้อมูลได้สะดวกกว่าคนในวัยเกษียณ คนกลุ่มนี้จะเสาะหาแหล่งเงินออมที่ให้ผลตอบแทนสูง ภายใต้ระยะเวลาฝากไม่นานนัก แม้ว่าบางธนาคารจะมีขนาดเล็ก สาขาน้อย แต่หากสามารถเดินทางได้สะดวกหรือคำนวณแล้วผลตอบแทนคุ้มค่า พวกเขาก็จะเลือกไปใช้บริการที่นั่น
นอกจากนี้ยังมีการออมเงินด้วยวิธีอื่นที่แม้จะไม่ใช่เงินฝาก มีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีมากกว่า เช่น กองทุนรวมหรือประกันชีวิตเพื่อหักลดหย่อนภาษี หุ้นกู้ระยะสั้นของภาคเอกชนที่ให้ดอกเบี้ยมากกว่า 4% หรือบางแห่งถึง 5%
ขณะนี้ก็ยังมีบางแห่งที่ไม่กำหนดระยะเวลาหมดเขตการฝากเช่นธนาคารเกียรตินาคิน 18 เดือน 4% หรือซีไอเอ็มบีไทย เน้นเงินฝากผู้สูงอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไปฝากประจำ 12 เดือน วงเงินขั้นต่ำ 1 หมื่นบาท สูงสุดไม่เกิน 5 แสนบาท รับดอกเบี้ย 3.25% เริ่มรับฝากตั้งแต่ 10 สิงหาคมจนถึงสิ้นปี 2555 ธนาคารกำหนดให้ถ้าดอกเบี้ยที่ได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาทไม่ต้องเสียภาษี 15% ส่วนกรุงไทยยังมีเงินฝากประจำตามใจ 3.35% 1 ปีให้เลือกฝากจนถึง 7 กันยายน 2555
“ไม่ใช่ว่าพันธบัตรรุ่นนี้ไม่ดี เพราะถึงอย่างไรตัวพันธบัตรก็มีความมั่นคงมากกว่าเงินฝากประเภทอื่น แต่ตัวผลตอบแทนที่ได้กับระยะเวลา 6 ปี อาจจะเหมาะกับคนกลุ่มหนึ่ง แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ตรงนี้ขึ้นกับสถานะของแต่ละคนว่าจะเลือกอย่างไร จำเป็นต้องใช้เงินระยะสั้นหรือไม่ แต่ถ้าไม่ติดขัดอะไรก็แบ่งเงินส่วนหนึ่งซื้อพันธบัตรรุ่นนี้ไว้ก็ได้ เพราะไม่มีใครทราบได้แน่นอนว่าอนาคตจากนี้ไปอัตราดอกเบี้ยฝากจะเป็นอย่างไร หากเป็นขาลงคนที่ซื้อก็จะได้ประโยชน์เพราะเป็นการล็อกดอกเบี้ยยาวไว้ถึง 6 ปี”
ต้นเดือนกันยายนระหว่าง 3-14 กันยายน 2555 กระทรวงการคลังได้มีการเสนอขายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษของกระทรวงการคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 อายุ 6 ปี วงเงินไม่เกิน 8 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.99% จ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง คือเดือนมีนาคมและกันยายน วงเงินซื้อขั้นต่ำ 1 หน่วย หรือ 1,000 บาท การจำหน่ายแบ่งเป็น 3 รอบ โดยในรอบแรกจะให้สิทธิ์กับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปก่อน จำกัดซื้อสูงสุดไม่เกิน 2,000 หน่วย หรือ 2 ล้านบาท
รอบที่ 2 เปิดให้ทั้งผู้มีสิทธิ์และอายุ 60 ปีขึ้นไปซื้อได้ในเงื่อนไขเดียวกับรอบแรก หากพันธบัตรยังเหลือในรอบที่ 3 จะไม่จำกัดวงเงินสูงสุดในการซื้อ จำหน่ายผ่านธนาคารพาณิชย์ 4 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ กรุงไทย ไทยพาณิชย์ และกสิกรไทย
พันธบัตรรุ่นนี้จะเป็นแบบไร้ใบตราสาร (Scripless) ดังนั้นหากผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรจะนำพันธบัตรไปเป็นหลักประกันให้กับหน่วยงานราชการและองค์กรของรัฐ เช่น การประกันทางศาล หรือการประกันไฟฟ้า และสามารถใช้พันธบัตรเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินหรือบุคคลอื่นได้ จะต้องติดต่อธนาคารตัวแทนจำหน่ายเพื่อขอถอนพันธบัตรจากระบบ Scripless โดยมีค่าธรรมเนียมการถอนพันธบัตร
Scripless ขอใช้จ่ายเพิ่ม
แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์กล่าวว่า พันธบัตรรุ่นนี้เป็นการออกมาเพื่อทดแทนพันธบัตรออมทรัพย์ 10 ปีที่ออกเมื่อปี 2545 ครบกำหนดเมื่อ 2 กันยายนที่ผ่านมา ครั้งนั้นดอกเบี้ยของพันธบัตรดังกล่าวอยู่ที่ 6.24% ถือว่าเป็นการรีไฟแนนซ์พันธบัตรรุ่นเดิม แต่ได้ดอกเบี้ยปัจจุบันที่ต่ำกว่า กระทรวงการคลังสามารถลดต้นทุนดอกเบี้ยลงได้ 36%
“จังหวะในการออกพันธบัตรดังกล่าว ถือเป็นช่วงปลอดระยะเวลาการรับฝากของธนาคารพาณิชย์ที่ออกโปรโมชันมาช่วงชิงเงินฝากไปก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่จะหมดเขตในสิ้นเดือนสิงหาคม ทำให้ช่วงระยะเวลาการขายพันธบัตรของกระทรวงการคลังชุดนี้มีคู่แข่งน้อย”
อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรชุดนี้ 3.99% เมื่อหักภาษี 15% แล้วผลตอบแทนสุทธิที่จะได้คือ 3.3915% กับระยะเวลาถือพันธบัตร 6 ปีถือว่าเป็นพันธบัตรระยะกลาง แต่สิ่งที่ผู้ต้องการซื้อพันธบัตรต้องทราบไว้คือรุ่นนี้จะเป็นแบบ Scripless คือไม่มีใบพันธบัตรมาให้กับผู้ซื้อเหมือนรุ่นก่อน หากมีความจำเป็นต้องใช้ตัวพันธบัตรเพื่อนำไปเป็นหลักประกันต่างๆ ต้องทำเรื่องขอพันธบัตรออกมาโดยเสียค่าธรรมเนียมทั้งส่วนของการถอนและต้องฝากกลับเข้าไปใหม่
ดอกเบี้ย 3.99% กับระยะเวลา 6 ปีถือว่านาน ตรงนี้บอกไม่ได้ว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะการกำหนดอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรในขณะนั้น บวกอีก 15% จากตัวภาษีที่จะต้องถูกหักแล้วนำมากำหนดเป็นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลค่อนข้างต่ำ
หากนำมาเปรียบเทียบกับเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทยมีเงินฝาก 22 เดือน ดอกเบี้ย 4% หรือธนาคารเกียรตินาคิน เงินฝาก 18 เดือน ดอกเบี้ย 4% เช่นเดียวกัน ถือว่าเป็นดอกเบี้ยที่สูงกว่าพันธบัตรเพียงเล็กน้อย แต่ด้วยระยะเวลาฝากที่สั้นกว่า อาจทำให้โดนใจคนมีเงินออมหลายราย ส่วนแบงก์อื่นๆ ก็มีผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ให้ผลตอบแทนลดหลั่นกันลงมาตามระยะเวลาและตามอันดับของธนาคาร
คาดขายอืด
ประเมินว่าพันธบัตรรุ่นนี้คงไม่คึกคักประเภทเปิดปุ๊บหมดปั๊บ ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากตัวอัตราผลตอบแทน 3.99% กับระยะเวลา 6 ปีนั้นค่อนข้างน้อย และก่อนหน้านี้ธนาคารพาณิชย์ได้แข่งกันระดมเงินฝากด้วยดอกเบี้ยพิเศษกันมาโดยตลอด เงินออมส่วนใหญ่ถูกธนาคารพาณิชย์ล็อกไว้แล้ว อีกทั้งก่อนหน้านี้รัฐบาลก็ไม่มีการแจ้งว่าจะมีพันธบัตรออกมาจำหน่ายให้กับประชาชนมาก่อน
ตามมาด้วยการขยายมาตรการคุ้มครองเงินฝากจาก 50 ล้านบาทลงมาเหลือ 1 ล้านบาทที่เดิมต้องใช้เมื่อ 11 สิงหาคมที่ผ่านมาออกไป ทำให้คนที่มีเงินออมไม่รู้สึกกังวลในเรื่องการฝากเงินไว้กับธนาคารพาณิชย์ไม่ว่าจะรายใหญ่หรือรายเล็ก เพราะถึงอย่างไรรัฐบาลก็ต้องค้ำประกันเงินฝากทุกแห่งที่ไม่เกิน 50 ล้านบาท
พันธบัตรรุ่นนี้จึงเหมาะกับผู้สูงอายุที่มีเงินเก็บและต้องการออมเงินระยะยาว ซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวก็ถือว่าไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป แต่การให้ดอกเบี้ยที่ 3.99% กับ 4% คือเพิ่มให้กับผู้ฝากอีกแค่ 0.01% นั้นไม่ได้มากนัก แต่จะทำให้การขายทำได้ง่ายขึ้น
อาจเป็นไปได้ที่พันธบัตรรุ่นนี้เป็นการไถ่ถอนพันธบัตรรุ่นเดิม ภาครัฐจึงยังไม่ได้เน้นในเรื่องการขายมากนัก แต่ในปีหน้าคาดว่าจะมีพันธบัตรรัฐบาลออกมาจำหน่ายอีก คราวนี้จะเป็นการระดมเงินเพื่อนำมาใช้จ่ายสำหรับการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้ และคงต้องรอดูอัตราดอกเบี้ยกันอีกครั้ง
การประเมินสถานการณ์ดอกเบี้ยในขณะนี้ทำได้ยาก เพราะตัวชี้ขาดจะอยู่ที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกทั้งฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป รวมไปถึงเศรษฐกิจของจีน หากสถานการณ์เลวร้ายทิศทางอัตราดอกเบี้ยย่อมเป็นขาลง แต่ถ้าดีขึ้นหรือทรงตัวดอกเบี้ยก็จะนิ่งและมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นได้
โปรโมชันแบงก์เตรียมออก
วงเงิน 8 หมื่นล้านบาทของพันธบัตรรุ่นนี้ ถือว่าเป็นคู่แข่งหนึ่งของการแย่งชิงเงินฝากจากธนาคารพาณิชย์ แต่ก็ไม่มากนัก เชื่อว่าเมื่อพ้นจากช่วงของการจำหน่ายพันธบัตรหมดลง ธนาคารพาณิชย์ก็จะหันมาออกโปรโมชันโดยให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษอีกเช่นเดิม เนื่องจากความต้องการสินเชื่อในเวลานี้มีมาก ทั้งการฟื้นฟูหลังน้ำท่วมของภาคธุรกิจและประชาชน รวมไปถึงสินเชื่อเพื่อขยายกิจการที่เริ่มขยายการลงทุนออกไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหาตลาดใหม่หรือลดต้นทุนการผลิตลงและสอดรับกับการเดินหน้าเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
สำหรับคนที่อยู่ในวัยทำงาน มีความคล่องตัวสูง ติดตามข้อมูลได้สะดวกกว่าคนในวัยเกษียณ คนกลุ่มนี้จะเสาะหาแหล่งเงินออมที่ให้ผลตอบแทนสูง ภายใต้ระยะเวลาฝากไม่นานนัก แม้ว่าบางธนาคารจะมีขนาดเล็ก สาขาน้อย แต่หากสามารถเดินทางได้สะดวกหรือคำนวณแล้วผลตอบแทนคุ้มค่า พวกเขาก็จะเลือกไปใช้บริการที่นั่น
นอกจากนี้ยังมีการออมเงินด้วยวิธีอื่นที่แม้จะไม่ใช่เงินฝาก มีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีมากกว่า เช่น กองทุนรวมหรือประกันชีวิตเพื่อหักลดหย่อนภาษี หุ้นกู้ระยะสั้นของภาคเอกชนที่ให้ดอกเบี้ยมากกว่า 4% หรือบางแห่งถึง 5%
ขณะนี้ก็ยังมีบางแห่งที่ไม่กำหนดระยะเวลาหมดเขตการฝากเช่นธนาคารเกียรตินาคิน 18 เดือน 4% หรือซีไอเอ็มบีไทย เน้นเงินฝากผู้สูงอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไปฝากประจำ 12 เดือน วงเงินขั้นต่ำ 1 หมื่นบาท สูงสุดไม่เกิน 5 แสนบาท รับดอกเบี้ย 3.25% เริ่มรับฝากตั้งแต่ 10 สิงหาคมจนถึงสิ้นปี 2555 ธนาคารกำหนดให้ถ้าดอกเบี้ยที่ได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาทไม่ต้องเสียภาษี 15% ส่วนกรุงไทยยังมีเงินฝากประจำตามใจ 3.35% 1 ปีให้เลือกฝากจนถึง 7 กันยายน 2555
“ไม่ใช่ว่าพันธบัตรรุ่นนี้ไม่ดี เพราะถึงอย่างไรตัวพันธบัตรก็มีความมั่นคงมากกว่าเงินฝากประเภทอื่น แต่ตัวผลตอบแทนที่ได้กับระยะเวลา 6 ปี อาจจะเหมาะกับคนกลุ่มหนึ่ง แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ตรงนี้ขึ้นกับสถานะของแต่ละคนว่าจะเลือกอย่างไร จำเป็นต้องใช้เงินระยะสั้นหรือไม่ แต่ถ้าไม่ติดขัดอะไรก็แบ่งเงินส่วนหนึ่งซื้อพันธบัตรรุ่นนี้ไว้ก็ได้ เพราะไม่มีใครทราบได้แน่นอนว่าอนาคตจากนี้ไปอัตราดอกเบี้ยฝากจะเป็นอย่างไร หากเป็นขาลงคนที่ซื้อก็จะได้ประโยชน์เพราะเป็นการล็อกดอกเบี้ยยาวไว้ถึง 6 ปี”
