xs
xsm
sm
md
lg

ยานเกราะยูเครนติดหล่ม สตง.ปัดร่วมวงตีตรายาง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน –โครงการจัดซื้อยานเกราะล้อยางยูเครนฉาวยังค้างเติ่ง สตง.ปัดไม่มีหน้าที่เป็นตรายางตรวจรับการันตีความถูกต้องโปร่งใส ย้ำทำหนังสือตั้งข้อสังเกตกระบวนการจัดซื้อจัดหาไม่ถูกต้องตามระเบียบมาตลอดและกองทัพบกยังไม่มีหลักฐานอื่นใดมารับรองว่าเป็นรถผลิตใหม่ไม่ได้ดัดแปลง จับตา “ประวิตร” สั่งทบทวนใหม่

นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เปิดเผยถึงกรณีการตรวจสอบโครงการจัดซื้อยานเกราะล้อยางจากประเทศยูเครนของกระทรวงกลาโหมว่า ขณะนี้ทาง สตง. กำลังรอกระทรวงกลาโหมส่งสัญญาการจัดซื้อจัดหามาให้ สตง. ตรวจสอบ ว่าได้ดำเนินการถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์ ข้อบังคับตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งหลังจากมีการเซ็นอนุมัติวงเงินจัดซื้อโดยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2551 ทางกลาโหมยังไม่ได้แจ้งเรื่องใดๆ มายัง สตง.

รองผู้ว่าการ สตง. กล่าวต่อว่า การอนุมัติจัดซื้อยานเกราะของนายสมัคร โดยกำหนดให้แต่งตั้งผู้แทนจาก สตง. ไปร่วมตรวจรับเพื่อความโปร่งใสนั้น เป็นเรื่องที่อดีตรมว.กระทรวงกลาโหม เข้าใจผิดไปเองว่าสามารถสั่งการให้สตง.ไปร่วมตรวจรับได้ ทั้งที่ความจริงแล้วสถานะของ สตง. ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติของกลาโหม แต่เป็นองค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญ และหน้าที่ของ สตง. คือหน่วยงานตรวจสอบ ไม่ใช่หน่วยงานที่จะไปร่วมตรวจรับซึ่งมีผลผูกพันถึงความรับผิดชอบตามสัญญาว่ามีความถูกต้องชอบธรรม ดังนั้น สตง.จะเข้าไปทำหน้าที่ร่วมตรวจรับด้วยไม่ได้

นายพิศิษฐ์ กล่าวต่อว่า การจัดซื้อจัดจ้างยานเกราะล้อยางจากยูเครน ยังมีประเด็นข้อโต้แย้งกันอยู่ว่าเป็นยานเกราะที่ผลิตใหม่หรือเป็นของเก่าที่นำมาพัฒนาดัดแปลงใหม่ และที่ผ่านมา สตง.ได้ทำหนังสือแจ้งต่อกระทรวงกลาโหมถึงการเข้าตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การเสนอราคา ความเหมาะสมในการใช้งาน ฯลฯ ทางกองทัพบกได้ชี้แจงข้อเท็จจริงในประเด็นต่างๆ แม้ในบางประเด็นยังไม่กระจ่างชัด แต่กองทัพบกยืนยันว่าทุกๆ ขั้นตอนดำเนินการด้วยความเป็นธรรม โปร่งใส ซึ่ง สตง. จะติดตามตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

อนึ่ง นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงกลาโหม ได้เซ็นอนุมัติวงเงินจัดซื้อยานเกราะล้อยาง เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2551 ที่ผ่านมา โดยให้กองทัพบก (ทบ.) จัดซื้อยานเกราะล้อยาง BTR –3 E 1 แบบต่างๆ จำนวน 96 คัน พร้อมระบบการฝึกศึกษา อบรม การถ่ายทอดเทคโนโลยีและระบบการซ่อมบำรุง โดยวิธีรัฐบาลต่อรัฐบาล กับรัฐบาลประเทศยูเครน ในราคารวมค่าขนส่งถึงสถานที่ที่ทบ.กำหนด ยกเว้นภาษีอากรทุกชนิด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 114,270,100 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3,898,892,400 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 34.12 บาท) ทั้งนี้ ตามที่ปลัดกระทรวงกลาโหม เสนอเรื่องเพื่อพิจารณาอนุมัติเมื่อวันที่ 15 เม.ย. 51

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเข้ารับตำแหน่ง รมว.กระทรวงกลาโหม ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ คาดว่าจะมีการเข้ามาพิจารณาโครงการจัดซื้อจัดหายานเกราะล้อยางดังกล่าวใหม่ เนื่องจากสตง.ไม่ส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมตรวจรับตามที่นายสมัครได้ให้ความเห็นไว้ในการเซ็นอนุมัติ

โครงการดังกล่าว ที่ผ่านมา สตง. ได้เข้าตรวจสอบและตั้งข้อสังเกตในหลายประเด็น ดังนี้

ประเด็นแรก ข้อพิรุธเรื่องข้อเสนอด้านราคา ซึ่งราคาที่บริษัทเอ็น จี วี เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด ผู้ได้รับคัดเลือกแบบจากกองทัพบก เสนอราคาในขั้นตอนการคัดเลือก ประมาณคันละ 800,000 เหรียญสหรัฐฯ แต่ภายหลังกองทัพบก ชี้แจงว่า สถานฑูตยูเครน ยืนยันราคาต่อคันที่เพิ่มสูงขึ้นจากราคาในขั้นตอนการคัดเลือกครั้งแรก โดยจำแนกตามประเภทรถ ดังนี้

1) Carrier BTR –3 E 1 ราคา 948,00 เหรียญสหรัฐฯ 2) Commander BTR – 3 E 1 ราคา 970,000 เหรียญสหรัฐฯ 3) Medical BTR –3 E 1 ราคา 810,000 เหรียญสหรัฐฯ 4) 81 mm. Motar BTR – 3 E 1 ราคา 970,000 เหรียญสหรัฐฯ 5) 120 mm. Motar BTR – 3 E 1 ราคา 1,140,000 เหรียญสหรัฐฯ 6) ATMS BTR –3 E 1 ราคา 1,380,000 เหรียญสหรัฐฯ 7) Recovery BTR –3 E 1 ราคา 910,000 เหรียญสหรัฐฯ

สตง. ชี้ว่า รายละเอียดของราคาต่อคันข้างต้นทุกประเภท สูงกว่าที่เสนอในขั้นตอนการคัดเลือกครั้งแรก ซึ่งเป็นข้อสังเกตว่า ราคาที่ใช้ในการพิจารณาคัดเลือกแบบครั้งแรกไม่ใช่ราคาที่จะมีการตกลงซื้อขายกันจริง อาจเข้าข่ายความคิดตามพระราชบัญญัติความผิดว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542

นอกจากนั้น ยังมีข้อสังเกตกรณีเคยทดสอบการใช้งานยานเกราะล้อยางในประเทศไทยหรือไม่ กองทัพบก ชี้แจงว่า ไม่เคยมีการทดสอบการใช้งานยานเกราะล้อยางของสาธารณรัฐยูเครนในประเทศไทย แต่ได้ส่งคณะเดินทางไปดูงานโรงงานผู้ผลิต เพื่อเยี่ยมชมสายการผลิต ณ สาธารณรัฐยูเครน ในกรณีดังกล่าวจะเห็นได้ว่า สภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศของประเทศยูเครนมีความแตกต่างจากประเทศไทยเป็นอย่างมาก ในกรณีที่ยังไม่เคยมีการทดสอบการใช้งานจริงในประเทศไทย จึงเป็นห่วงต่อการใช้จ่ายเงินเพื่อให้ได้อาวุธยุทธโธปกรณ์ที่เหมาะสม เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งสามารถปกป้อง คุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ประเด็นที่สอง การดำเนินการจัดหายานเกราะล้อยางของกองทัพบก ไม่โปร่งใส โดยในขั้นตอนการจัดหา กองทัพบกได้ประกาศเชิญชวนทำการคัดเลือกแบบยานเกราะล้อยาง ซึ่งในขั้นตอนนี้ มีผู้เข้าเสนอข้อมูลและเอกสารประกอบการพิจารณาภายในระยะเวลาที่กำหนดตามประกาศฯ จำนวน 8 บริษัท แต่เมื่อถึงวันพิจารณาคัดเลือกแบบ กลับปรากฏว่า มีบริษัทที่ไม่ได้มีรายชื่อในการเข้าเสนอข้อมูลตามวันเวลาที่กำหนดด้วย คือ บริษัท เอ็น จี วี เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด ซึ่งเสนอยานเกราะ รุ่น BTR –3E1 ของสาธารณรัฐยูเครน และเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกจากกองทัพบก

ประเด็นที่สาม ยานเกราะล้อยางรุ่น รุ่น BTR –3E1 ของสาธารณรัฐยูเครน ไม่ได้ผลิตขึ้นมาใหม่แต่เป็นการนำยานเกราะรุ่นเก่าของรัสเซียมาปรับปรุงให้เป็นของใหม่

นอกจากนี้ ทางสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยังเข้าตรวจสอบโครงการนี้ และมีข้อสรุปว่า หนึ่ง การเปิดโอกาสให้บริษัทเอ็น จี วี เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด สามารถเข้ามาเสนอราคาได้ในภายหลัง เหตุเพราะคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานกองทัพบก ได้มีมติรับรองมาตรฐานยุทธโธปกรณ์ที่บริษัทดังกล่าวเป็นผู้นำเสนอขายไปตั้งแต่ก่อนเปิดให้เอกชนเสนอตัวเข้ามาแข่งขันกันคัดเลือกแล้ว การกระทำของกองทัพบก ดังกล่าว จึงไม่เป็นไปตามหลักความเสมอภาค ความโปร่งใส และก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่เอกชนรายอื่น

สอง การกระทำของคณะกรรมการคัดเลือกแบบ คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานยุทธโธปกรณ์ กองทัพบก เป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่กองทัพบกกำหนด เป็นการดำเนินการที่ไม่โปร่งใสและผลของการกระทำเป็นการเอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอ็นจีวี เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด อย่างแจ้งชัด

แต่ถึงแม้ สตง. และสนช. จะชี้ข้อพิรุธ ความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อยานเกราะล้อยางจากยูเครน แต่กองทัพบก ยังยืนยันการจัดซื้อกระทั่งนำมาสู่การอนุมัติของนายสมัคร โดยอ้างว่า สตง. ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและยืนยันถึงความถูกต้องทุกประการแล้ว

ทาง สตง. จึงได้ทำหนังสือ ส่งถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2551 แจ้งต่อรมว.กลาโหมว่า สตง.ไม่เคยยืนยันความถูกต้องและความโปร่งใสในการจัดซื้อยานเกราะยูเครน ที่ผ่านมาเป็นเพียงการรับฟังข้อเท็จจริงจากกองทัพบกซึ่งยังไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมด เช่น กรณีการชี้แจงเป็นภาพถ่ายของโรงงานประกอบชิ้นส่วนที่อยู่ในต่างประเทศ ว่าเป็นของผลิตใหม่ไม่ได้ดัดแปลง

/////////////////////////////////////////////////////////

***พลิกปูมโครงการฉาว ยานเกราะยูเครน ****

ความเป็นมาของโครงการจัดซื้อจัดหายานเกราะล้อยาง เป็นผลสืบเนื่องมาจากแผนพัฒนากองทัพบก ปี 2540 – 2549 ที่ต้องการยานเกราะล้อยางเข้าประจำการใน พล.ร. 2 รอ. ประมาณ 98 คัน งบประมาณ 8,000 ล้านบาท เวลานั้น พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร เป็นผบ.ทบ. จึงแต่งตั้งคณะทำงานเลือกแบบยานเกราะฯ ขึ้นในปี พ.ศ. 2539 – 2540 และมีบริษัทต่างๆ นำยานเกราะฯ เข้ามาทำการคัดเลือกทั้งสิ้น 9 บริษัท ต่อมา คณะทำงานชุดดังกล่าวได้สิ้นสุดการปฏิบัติงานลงเมื่อเดือน ส.ค. 2540 แต่ทางทบ. ยังไม่มีงบประมาณจัดซื้อยานเกราะฯ เพราะประเทศชาติเจอวิกฤตเศรษฐกิจพอดี

หลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ทาง คณะกรรมการมาตรฐานยุทธโธปกรณ์ของกองทัพบก (กมย.ทบ.) ได้ประชุมและมีมติ เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2550 เห็นควรให้กำหนดแนวทางดำเนินการโครงการจัดหายานเกราะล้อยางที่ ทบ. มีแผนจัดหาในปีงบประมาณ 2550 พร้อมกับมีมติให้ ยก.ทบ. ขออนุมัติแต่งตั้งคณะทำงานเลือกแบบยุทโธปกรณ์ขึ้นเพื่อดำเนินการคัดเลือกแบบ และเสนอให้ กมย. ทบ. พิจารณาภายในเดือนพ.ค. 2550

ต่อมา ผบ.ทบ. ได้อนุมัติและมีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2550 โดยมี พล.ต.นิวัตร มีนะโยธิน ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์การทหารราบ เป็นประธาน คราวนี้ ทบ. ลดจำนวนยานเกราะฯ ลงเหลือ 48 คัน และลดวงเงินเหลือประมาณ 4,000 ล้าน

โครงการดังกล่าว ระบุถึงความต้องการใช้งานเพื่อตอบสนองภารกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประสบกับภัยคุกคามของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบและจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยพานะลำเลียงพลที่มีประสิทธิภาพ เข้าออกพื้นที่สะดวกและปลอดภัยต่อกำลังพล ที่สำคัญ ต้องฝ่าด่านตะปูเรือใบอันเป็นอุปสรรคสำคัญทางยุทธวิธีในการสงครามครั้งนี้

ต่อมา คณะทำงาน ได้รวบรวมข้อมูลยานเกราะล้อยางในขั้นต้น และยังได้ข้อมูลต่างๆ จากการที่ ทบ.อนุมัติหลักการให้บรรยายสรุป สาธิต ทดสอบและทดลองการใช้งานยุทโธปกรณ์ ณ หน่วยใน ทบ. เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตจากต่างประเทศและบริษัทผู้แทนจำหน่ายยุทโธปรกรณ์ในไทย นำเสนอข้อมูลยุทโธปกรณ์ให้ ทบ.รับทราบ และพิจารณาใช้ประโยชน์ในขั้นต้น

ซึ่งที่ผ่านมามียานเกราะล้อยางของบริษัทต่างๆ เข้ามาดำเนินการให้ทบ.ได้รับข้อมูล ทดลองใช้ หลายรายด้วยกัน รวมทั้งข้อมูลจากทดสอบยานเกราะล้อยางของ 9 บริษัทที่คณะทำงานชุดแรก จัดทำไว้ทั้งการทดสอบทางเทคนิกในโรงงาน และการทดสอบทางยุทธวิธีในสนาม

คณะทำงานฯ ได้เริ่มขั้นตอนการดำเนินงาน โดยประชุมครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2550 ณ ห้องประชุม กบ.ทบ. (1) เพื่อพิจารณาคุณลักษณะทั่วไปของยานเกราะล้อยางที่ต้องการและกำหนดขั้นตอนดำเนินงาน และขออนุมัติต่อ ผบ.ทบ. ผ่านทาง ยก.ทบ. โดยได้รับอนุมัติ เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2550

จากนั้น ในวันที่ 9 พ.ค. 2550 ออกประกาศเชิญชวนให้บริษัทต่างๆ เสนอข้อมูลยานเกราะล้อยาง โดยประชาสัมพันธ์ผ่านทางทีวี ช่อง 5 และสถานีวิทยุ พล. 1 รอ. เพื่อให้บริษัทผู้ผลิตจากต่างประเทศและในประเทศ ได้เสนอข้อมูลมายังคณะทำงานภายในวันที่ 16 พ.ค. 2550 เวลา 16.30 น.

ต่อมา คณะทำงาน ประชุมครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2550 ณ ห้องประชุม กบ.ทบ. (1) เพื่อพิจารณาลักษณะเฉพาะยานเกราะล้อยางที่พึงประสงค์และเพื่อพิจารณาหัวข้อการลงคะแนน ครั้งที่ 1 และประชุมพิจารณาปรับปรุงคุณลักษณะยานเกราะฯ และแบบหัวข้อลงคะแนน ครั้งที่ 2 ในวันที่ 15 พ.ค. 2550 จากนั้น ในวันที่ 16 พ.ค. 2550 มีบริษัทต่างๆ ยื่นพร้อมแสดงเอกสารแสดงความประสงค์ เข้ามายังคณะทำงานฯ เพื่อนำเสนอข้อมูล จำนวน 10 บริษัท ต่อมาได้สละสิทธิ์ไป 2 บริษัท

เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2550 ณ ห้องจามจุรี (1) สโมสรทบ. คณะทำงานฯ ประชุมร่วมกับบริษัทผู้ผลิต โดยสาระสำคัญของการประชุมชี้แจงคือ นัดหมายและชี้แจงทำความเข้าใจให้บริษัทต่างๆ จัดเตรียมข้อมูลเพื่อเข้าทำการบรรยาย อธิบาย สาธิตต่อคณะทำงานฯ ในวันที่ 21 – 22 พ.ค. 2550

จากนั้น ในวันที่ 21 - 22 พ.ค. คณะทำงานฯ ได้รับฟังการบรรยายสรุป อธิบาย สาธิตและตอบข้อซักถามของบริษัทต่างๆ จำนวน 9 บริษัท โดยบริษัทของประเทศยูเครน ได้ขอเข้าบรรยายสรุป ในวันที่ 22 พ.ค. 2550 ทั้งที่ไม่ได้ยื่นเสนอข้อมูลภายในวันที่กำหนดคือ 16 พ.ค. 2550 เวลา 16.30 น. แต่อย่างใด

ผลจากการรับฟังข้อมูล คณะทำงานฯ ได้คัดเลือกแบบจำนวน 4 แบบ ได้แก่ ประเทศแคนาดา (บริษัท ฮอคอายส์ จำกัด) ประเทศรัสเซีย (บริษัท โรสโอโบรอนเอกซ์ปอร์ต จำกัด) ประเทศฟินแลนด์ และประเทศยูเครน (บริษัทเอ็นจีวีเอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด)

พลันที่คณะทำงานฯ อนุญาตให้ประเทศยูเครน โดยตัวแทนบริษัทเอ็นจีวีเอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประสานงานในไทยให้กับบริษัท UKRSPETSEXPORT จำกัด รัฐบริษัทของยูเครน เข้าบรรยายสรุป ในวันที่ 22 พ.ค. 2550 และได้รับการคัดเลือก 1 ใน 4 ราย ก็เกิดข้อร้องเรียนจากผู้เข้าร่วมประมูลว่าทำให้ผู้เสนอแบบรายอื่นไม่ได้รับความเป็นธรรมในขั้นตอนการคัดเลือกตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ

นอกจากนั้น การเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทจากประเทศยูเครน ยังเข้าข่ายเป็นความผิด ตาม พ.ร.บ.การเสนอราคาต่อรัฐ พ.ศ 2542 หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า พ.ร.บ.ฮั้ว มาตรา 10 – 13 อีกด้วย กระทั่งนำไปสู่การทำหนังสือร้องเรียนไปยังผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้ตรวจสอบกระบวนการที่ไม่โปร่งใสข้างต้น

ไม่เพียงเท่านั้น นายวลาดิเมียร์ กราฟอฟ ผู้ช่วยทูตพาณิชย์รัสเซียประจำประเทศไทย ผู้ได้รับมอบอำนาจอย่างเป็นทางการในการเสนอขายยานเกราะล้อยางในรูปแบบรัฐต่อรัฐ ยังได้ทำหนังสือไปถึง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2550 สอบถามถึงความชัดเจนโปร่งใสในการคัดเลือก จัดหายานเกราะล้อยางของกองทัพบกในครั้งนี้ เนื่องจากในบัญชีรายชื่อผู้เข้าร่วมประมูลทั้งสิ้น 10 แบบ 10 บริษัท จาก 10 ประเทศ ไม่ปรากฏการเข้าร่วมของรถจากประเทศยูเครนเลย

อย่างไรก็ตาม ทางคณะทำงานคัดเลือกฯ และ กมย.ทบ. ได้ให้ความเห็นว่า ยานเกราะจากยูเครนมีความเหมาะสมมากที่สุด เนื่องจากเสนอราคาเบื้องต้นถูกที่สุด และเสนอให้ผู้บัญชาการทหารบก ลงนามอนุมัติเสนอต่อกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา

แต่เมื่อกระแสข่าวเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวแพร่ออกไป พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ก็ได้ดึงเรื่องกลับมาพิจารณาใหม่ ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ขณะนั้น ยืนยันว่าทางกองทัพจะไม่ตั้งงบเพื่อซื้อของเก่าหรือเศษเหล็กอย่างแน่นอน

นอกเหนือจากการเอื้อประโยชน์ให้กับยูเครนแล้ว ข้อสังเกตเกี่ยวกับโครงการจัดหายานเกราะล้อยางของ ทบ. ยังพุ่งตรงไปที่แบบและรุ่นของยานเกราะ โดยเฉพาะรุ่น BTR 3E1 ของยูเครนซึ่งที่ปรึกษาด้านกฎหมายของบริษัท โรสโอโบรอนเอกซ์ปอร์ต จำกัด จากรัสเซีย ระบุในคำร้องต่อ สตง.ว่า ยานเกราะล้อยางรุ่น BTR 3 E 1 ของยูเครนเป็นรถยานเกราะที่ดัดแปลงมาจากยานเกราะรุ่น BTR 70 ของสหภาพโซเวียต ซึ่งยุติการขายไปแล้วหลายปี แต่มีประจำการอยู่ในยูเครนมาตั้งแต่ช่วงสงครามเย็นจำนวน 1,105 คัน

นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตว่าล้อยางของยานเกราะรุ่น BTR 3E1 ไม่สามารถทนทานต่อตะปูเรือใบ กระสุนปืนเอ็ม 16 หรือกระสุนปืนขนาด 7.62 มม.ได้ เนื่องจากประเทศยูเครนไม่มีเทคโนโลยีสำหรับยางป้องกันกระสุนขนาดดังกล่าวซึ่งอาจส่งผลให้ไม่สามารถตอบสนองต่อวัตถุประสงค์การใช้งานในกองทัพบกได้

ข้อสังเกตนี้ แหล่งข่าวจากกระทรวงกลาโหม ระบุว่า พล.อ. บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม และ พล.อ. วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม เคยแสดงความคิดเห็นว่า ยานเกราะฯจากยูเครน เป็นรถเก่าและอาจมีปัญหาเรื่องการส่งกำลังบำรุง ที่สำคัญ มีแบบที่ค่อนล้างล้าสมัย ทั้งยังขึ้น-ลงยังต้องใช้ด้านข้างตัวรถยนต์ ขณะที่ยานเกราะฯ ของแคนนาดา และรัสเซีย จะขึ้น-ลงด้านท้ายรถยนต์ จึงน่าจะปรับให้เหมาะสม

จากนั้นไม่กี่วัน สถานทูตยูเครนประจำประเทศไทย แถลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับยานเกราะรุ่น BRT 3E1 ในประเด็นด้านเทคนิคว่า ยานเกราะล้อยางรุ่นดังกล่าวได้รับการออกแบบโดยสถาบันออกแบบและวิจัย Kharkiv Morozov Machine Building Design Bureau ซึ่งเป็นสถาบันออกแบบและวิจัยหลักและรัฐบริษัทของยูเครนเอง ซึ่งมี ความสามารถและประสบการณ์ที่ไม่ด้อยไปกว่าบริษัทต่างๆ พร้อมยืนยันว่ายานเกราะล้อยาง BTR 3E1 เป็นยานยนต์ใหม่ ทันสมัย และผลิตขึ้นตามมาตรฐานการผลิตของยุทธภัณฑ์จากโรงงานของยูเครน ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม กระบวนการจัดซื้อจัดหาที่กองทัพบกตกลงเลือกยานเกราะล้อยางจากยูเครน มีอันสะดุดลงเมื่อขั้นตอนการขออนุมัติต้องผ่าน พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน รองปลัดกระทรวงกลาโหม ขณะนั้น ซึ่งดูแลกลั่นกรองงานด้านส่งกำลังบำรุง มีข้อท้วงติง กระทั่งนำไปสู่การปลดพล.ร.อ.บรรณวิทย์ กลางอากาศในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ ตามกระบวนการจัดซื้อจัดหายานเกราะฯ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ขณะดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.ได้เป็นผู้เซ็นอนุมัติแผนจัดหาที่เลือกแบบจากประเทศยูเครน จากนั้นกรมสรรพาวุธ ได้เรียกยูเครนมาเจรจาต่อรองเงื่อนไขการจัดซื้อแบบรัฐบาลกับรัฐบาลและตกลงราคา

ต่อมา พล.อ.อนุพงษ์ ได้เป็นผู้เซ็นอนุมัติการจัดซื้อจัดจ้างยานเกราะจากยูเครนในระหว่างที่ทำหน้าที่รักษาการ ผบ.ทบ. แทนพล.อ.สนธิ ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งเป็นการเซ็นอนุมัติของพล.อ.อนุพงษ์ เป็นการด้านการเงินที่มีข้อกังขาว่า พล.อ.อนุพงษ์ สามารถทำได้หรือไม่ ?

หลังจาก พล.อนุพงษ์ เซ็นอนุมัติแล้ว ทางกองทัพบก ได้นำเสนอเรื่องไปยังให้ผบ.สูงสุด ลงนามเห็นชอบ และส่งเรื่องไปยังสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งตามขั้นตอนจะต้องผ่านการพิจารณาของพล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน รองปลัดกระทรวงกลาโหม ที่มาจากสายกองทัพเรือ ซึ่งได้รับมอบหมายจากพล.อ.วินัย ภัทริยกุล ปลัดกระทรวงฯ ให้ดูแลกลั่นกรองงานด้านส่งกำลังบำรุง

ทาง พล.ร.อ.บรรณวิทย์ จึงได้ตรวจสอบการจัดซื้อจัดหายานเกราะฯไปยังสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งทาง สตง.แจ้งว่า กำลังตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอยู่และเห็นว่าการดำเนินการของกองทัพบก อาจเข้าข่ายทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542

ทางพล.ร.อ.บรรณวิทย์ จึงแทงหนังสือไปยังพล.อ.วินัย ภัทริยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม ท้วงติงว่าเรื่องดังกล่าวสตง. กำลังสอบและไม่เซ็นอนุมัติตามที่ผบ.สูงสุด เสนอเรื่องขึ้นมา ทำให้เรื่องการจัดซื้อจัดหายานเกราะมีปัญหาสะดุดลง

เมื่อเรื่องที่เสนอขึ้นมาถูกพล.ร.อ.บรรณวิทย์ เบรกไว้ ขณะที่ใกล้จะหมดปีงบประมาณในสิ้นเดือนก.ย. 2550 ทางกองทัพบก จึงดำเนินการอีกทางหนึ่ง โดยตั้งเรื่องขึ้นมาใหม่เพื่อขอผูกพันงบประมาณจากคณะรัฐมนตรี (ครม.)โดยเสนอเรื่องผ่านไปทางรองปลัดกระทรวงกลาโหม สายกองทัพอากาศแทน พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ที่มีอำนาจกลั่นกรองโดยตรง

จากนั้น รองปลัดกระทรวงฯ ก็ส่งเรื่องขึ้นไปยังปลัดกระทรวงกลาโหม และรมว.กลาโหม เพื่ออนุมัติตามลำดับชั้น กระทั่ง พล.อ.บุญรอด สมทัต รมว.กลาโหม นำเสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2550 ที่ผ่านมา เพื่อขอผูกพันงบประมาณ ซึ่งเป็นช่วงที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เดินทางไปประชุมประจำปีของสหประชาชาติที่สหรัฐฯ โดยมีนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรี รักษาการนายกฯ เป็นประธานในที่ประชุมครม.

มติ ครม. วันดังกล่าว เห็นชอบให้กองทัพบกก่อหนี้ผูกพันงบประมาณข้ามปี โครงการจัดหารถหุ้มเกราะจำนวน 96 คัน ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 50-53 วงเงิน 3,898,892,400 บาท และให้ ผบ.ทบ.หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงซื้อขายรถหุ้มเกราะ ระหว่างรัฐบาลไทยกับยูเครน

ในการประชุมครม. ครั้งนั้น นายฉลองภพ สุสังกาญจน์ รมว.กระทรวงการคลัง เป็นผู้ท้วงติงการผูกพันงบประมาณและรายละเอียดการจัดซื้อจัดหาว่ายังไม่สมบูรณ์ แต่สุดท้าย ครม. ก็มีมติอนุมัติให้กระทรวงกลาโหมผูกพันงบประมาณจัดหายุทโธปกรณ์ วงเงิน 7,000 กว่าล้าน ใน 4 รายการ ซึ่งรวมถึงยานเกราะฯ จากยูเครนด้วย

ผลสะท้อนการจากการขวางกองทัพบกจัดซื้อยานเกราะยูเครน ทำให้รมว.กลาโหม มีสั่งย้าย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ออกจากตำแหน่งรองปลัดกระทรวงกลาโหม และแต่งตั้งพล.อ. ทสรฐ เมืองอ่ำ ขึ้นมาแทน ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ พล.อ.ทสรฐ เซ็นอนุมัติเรื่องการจัดซื้อจัดหายานเกราะฯ ที่ถูกพล.ร.อ.บรรณวิทย์ ท้วงติงและตีกลับไป

เมื่อการเสนอเพื่ออนุมัติตามลำดับชั้นครั้งใหม่จากกองทัพบก ขึ้นมายังบก.สูงสุด และสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม และรมว.กระทรวงกลาโหม เพื่ออนุมัติอีกครั้งไม่มีปัญหา ทำให้การจัดซื้อจัดหายานเกราะล้อยางมีผลในทางปฏิบัติครบถ้วนสมบูรณ์โดยไม่ต้องนำเรื่องเข้าครม.อีกครั้งเพราะครม.ได้อนุมัติรายการและวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณแล้ว ทั้งที่การอนุมัติของครม. เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2550 นั้น เรื่องที่นำเสนอเข้ามาไม่ได้ผ่านกระบวนการขั้นตอนการกลั่นกรองที่ถูกต้องตามสายงานแต่อย่างใด

แต่ถึงแม้จะไม่ต้องนำเรื่องการขออนุมัติผูกพันงบประมาณเข้าครม.อีกครั้ง เพียงแต่เสนอให้นายสมัคร สุนทรเวช รมว.กลาโหม (ขณะนั้น) ซึ่งมีอำนาจอนุมัติวงเงินในการจัดซื้อจัดจ้าง แต่การอนุมัติโดยมีเงื่อนไขให้สตง.เข้าร่วมตรวจรับด้วยนั้น ทำให้โครงการจัดหายานเกราะล้อยางของกองทัพบกไม่สามารถเดินหน้าไปได้จนกระทั่งบัดนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น