การไม่ยื่นอุทธรณ์คดีที่ดินรัชดาภิเษกโดยไม่แจ้งเหตุผลของอดีตนายกรัฐมนตรี นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงการ “ไม่มีพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ” แล้ว อีกด้านหนึ่งนี่คือการตอกย้ำถึงการก้าวเข้าสู่สงครามครั้งสุดท้ายขั้นแตกหักกับ “ศัตรูทางการเมือง” ที่ เขาประกาศเดินหน้าท้าชนทุกสถาบัน
19 พ.ย. 51 คือวันสิ้นสุดการยื่นอุทธรณ์คดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 ในคดี เป็นเวลา 2 ปี ซึ่งบัดนี้ชัดเจนแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันไม่ใช้สิทธิ์อุทธรณ์
ทั้งนี้ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 278 วรรคสาม กำหนดว่า “ในกรณีที่ผู้ต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ อาจยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้”
อดีตนายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้ให้เหตุผลใดๆ ต่อการตัดสินใจไม่ยื่นอุทธรณ์คดีตามสิทธิทางกฎหมายในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ ซึ่งเป็นวิถีทางการต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าหากพิเคราะห์ตัวตนของชายชื่อทักษิณ ก็คงหาคำตอบได้ไม่ยาก
เพราะถึงแม้ ทักษิณ จะพยายามกลบเกลื่อนความเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ลุ่มหลงในอำนาจ ทรัพย์สินเงินทอง แต่การแสดงออกกลับสะท้อนว่าเขาล้มเหลว
เมื่อครั้งที่เขาขึ้นครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ฝันไกลถึงขั้นจะนั่งเก้าอี้ผู้นำให้ยาวนานนับสิบยี่สิบปีเหมือนกับมหาเธร์แห่งมาเลเซีย
เมื่อตั้งพรรคการเมืองเขาก็การกว้านซื้อส.ส.เข้าพรรคเพื่อหวังชัยชนะเพียงหนึ่งเดียว และเข้ายึดกุมอำนาจบริหารประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยแทรกแซง ทำลาย ตัดตอน กระบวนการตรวจสอบเสียสิ้น เพียงเพื่อที่จะไม่ให้มีสิ่งใดมาเป็นอุปสรรคขัดขวางการกอบโกย การทุจริตคอร์รัปชั่นทั้งในเชิงนโยบาย กินตามน้ำ และกวนน้ำกิน
การหมดสิ้นอำนาจวาสนาเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับว่าเกิดจากการกระทำของตัวเขาเองและพวกพ้องบริวาร กระทั่งเมื่อมีการชำระความผิด นำคดีความเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยศาลคือผู้ตัดสินความถูกผิด เขาก็ยังไม่ยอมรับคำตัดสินนั้น ดังคำกล่าวอ้างที่ว่าตัวเขาเอง “โดนยัดเยียดคุก” โดย “กระบวนการยุติความเป็นธรรม” เมื่อต้นเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา ผ่านรายการความจริงวันนี้สัญจร
การกล่าวหาศาล การโจมตีกระบวนการยุติธรรม ของ ทักษิณ เท่ากับเป็นการหมิ่นประมาทองค์กรแห่งอำนาจทั้งมวล โดยก้าวล่วงไปถึงอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางตุลาการด้วย
ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า “แต่ก่อนเก่า ในสมัยที่เราอยู่ภายใต้ระบอบที่อำนาจรวมศูนย์ พระมหากษัตริย์เป็นผู้ครองอำนาจในการตัดสินคดี เป็นผู้ดัดคดีโดยธรรม แม้หลังจากที่เราเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว เป็นประชาธิปไตย เรายังเลือกใช้ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์ทางตุลาการนั้น ใช้โดยผ่านองค์กร คือศาล เพราะฉะนั้นคณะผู้พิพากษา จึงพิพากษาคดีต่างๆ ตามพระปรมาภิไธย
“ดังนั้น เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวตำหนิกระบวนการยุติธรรม ว่า ยุติความเป็นธรรม เท่ากับหมิ่นประมาทกระบวนการทั้งหมด ทั้งองค์กรแห่งอำนาจ เจ้าของอำนาจคือประชาชนอย่างเรา รวมไปถึงผู้ใช้อำนาจตุลาการด้วย ต้องอย่าลืมว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ อำนาจตุลาการ คือหนึ่งในอำนาจของประชาชนทั้งสาม องค์กรแห่งอำนาจคือศาล ผู้ใช้อำนาจคือพระมหากษัตริย์”
ต่อมา เมื่อเขาถูกถอนวีซ่าจากทางการอังกฤษ ด้วยเหตุผลที่เขาและ(อดีต)ภรรยาถูกศาลตัดสินจำคุก ทำให้ภาพผู้นำอินเตอร์ที่เขาเพียรพยายามสร้างขึ้นพังพินาศย่อยยับชั่วพริบตา การหย่า (แต่เพียงในนาม) กับภรรยาเพื่อจัดการทรัพย์สินและประสานพลังวางแผนสู้ศัตรูทางการเมือง พร้อมกับดึงเอาน้องสาวคนสวย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้ประสบความสำเร็จในธุรกิจไอทีและอสังหาริมทรัพย์ เข้ามาร่วมคุมพรรคเพื่อไทย พรรคใหม่ที่ตั้งขึ้นมารองรับการยุบพรรคพลังประชาชน นับเป็นเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่ที่น่าจับตาว่าจะลงเอยเช่นใด
การโฟนอินรอบสองผ่านรายการความจริงวันนี้สัญจร ในวันที่ 14 ธ.ค. เพื่อประกาศจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนหลังหวนคืนสู่เวทีการเมืองอีกครั้ง ทั้งยังประกาศเอาคืนศัตรูทางการเมืองที่ไล่ต้อนเขาให้จนตรอก เป็นเสมือนการประกาศสงครามครั้งสุดท้าย ซึ่งอาจหมายถึงวาระสุดท้ายของเขาด้วยก็เป็นได้