ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - บพท.รุกสานต่อการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยพัฒนาคน พัฒนาพื้นที่ในจังหวัดชายแดนใต้ ผนึกกำลังสภาเกษตรกรจังหวัดยะลา เกษตรกรในพื้นที่ ต่อยอดองค์ความรู้พัฒนาคุณภาพ และประสิทธิภาพผลผลิตทุเรียน ยกระดับ “วิสาหกิจชุมชนพัฒนาคุณภาพทุเรียนบ้านบาตูปูเต๊ะ (ธารโต)”
ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เปิดเผยว่า หน่วย บพท. ได้ใช้ชุดความรู้จากงานวิจัย ตลอดจนกระบวนการวิจัยที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต และบริบทพื้นที่เข้าไปสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาคุณภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ทุเรียนในจังหวัดชายแดนใต้ ควบคู่ไปกับการเสริมพลังให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียนรวมกลุ่มกันในลักษณะเครือข่ายเป็นวิสาหกิจชุมชน เชื่อมโยงกับกลไกรัฐ และกลไกธุรกิจ กระทั่งส่งผลให้ทุเรียนเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดชายแดนใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการปลูกทุเรียนมากที่สุดเมื่อเทียบกับทุกจังหวัดชายแดนใต้ “ทุกวันนี้ชุดความรู้จากงานวิจัย เพื่อพัฒนาคุณภาพผลผลิตทุเรียน ซึ่ง บพท. ให้การสนับสนุน และพลังจากภาคีความร่วมมือหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้ (ศอ.บต.) และสภาเกษตร ทำให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียน สามารถขายทุเรียนได้ราคาดีขึ้นมาก มีความมั่นคงทางอาชีพ”
ผู้อำนวยการ บพท. กล่าวต่อไปว่า ผลพลอยได้จากชุดความรู้ในการพัฒนาคุณภาพและผลผลิตทุเรียนมีส่วนอย่างสำคัญต่อการสร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี เพิ่มโอกาสแก่เกษตรกรในการมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเลี้ยงผึ้งชันโรง “บพท. ยังจะช่วยเสริมพลังแก่วิสาหกิจชุมชนชาวสวนทุเรียน โดยเฉพาะวิสาหกิจชุมชนพัฒนาคุณภาพทุเรียนบ้านบาตูปูเต๊ะ (ธารโต) ด้วยการยกระดับการพัฒนาคุณภาพ ประสิทธิภาพ และเสริมขีดความสามารถแก่เกษตรกรในการเป็นผู้ประกอบการ เพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้”
นายมะเสาวดี ไสสากา หัวหน้าสำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดยะลา กล่าวว่า สภาเกษตรกรจังหวัดยะลา และเกษตรกรชาวสวนทุเรียนในพื้นที่ได้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยที่ บพท. ให้การสนับสนุน ผสมผสานกับหลักการทางศาสนาอิสลาม ไปพัฒนาศักยภาพแก่เกษตรกรชาวสวนทุเรียนอย่างได้ผล ทำให้ผลผลิตทุเรียนมีคุณภาพดีขึ้น ขายได้ราคามากขึ้น และเป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศ และตลาดต่างประเทศ
“ความรู้ในการพัฒนาคุณภาพทุเรียน ความรู้ในการเก็บและใช้ข้อมูลสำหรับการวางแผน ตลอดจนความรู้ในการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งเป็นส่วนที่ บพท. ให้คำแนะนำ จะนำมาประยุกต์เข้ากับหลักศาสนาอิสลาม 5 ประการได้แก่ 1). “อามานะ” คือความรับผิดชอบต่อโลกและเพื่อนมนุษย์ 2). “ชูรอ” คือการปรึกษาหารือร่วมกัน 3). “นาซีฮัต” คือการตักเตือนซึ่งกันและกัน 4). “มูฮาซาบะห์” คือการตรวจสอบติดตามประเมินผล 5). “ญามาอะห์” คือการรวมหมู่ ซึ่งนำไปสู่การขับเคลื่อนการพัฒนาศักยภาพแก่เกษตรกรชาวสวนทุเรียน ให้ร่วมกันผลิตทุเรียนที่ดีต่อโลกและดีต่อเพื่อนมนุษย์”
ผลของการพัฒนาคุณภาพทุเรียน ทำให้เกษตรกรขายทุเรียนคุณภาพได้ในราคาที่สูงขึ้นกว่าเดิม 2-3 เท่าตัว จากเดิม 50 บาท/กก. เป็น 100-150 บาท/กก. ในปัจจุบัน และมีผลผลิตเพิ่มขึ้นในเชิงปริมาณด้วยเฉลี่ย 470-500 กก./ไร่ โดยมีปริมาณรับซื้อและส่งจำหน่ายรวม 3,000 ตัน ในปี 2565 การรวมตัวเป็นกลุ่มของเกษตรกรในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน การใช้กระบวนการกลุ่ม ระบบการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน เพิ่มมูลค่าทางการตลาดในการจำหน่ายทุเรียน สามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดทุเรียนโดยใช้แนวคิดการบูรณาการร่วมระหว่างห่วงโซ่อุปทาน และห่วงโซ่มูลค่า โดยมี “วิสาหกิจชุมชนพัฒนาคุณภาพทุเรียนบ้านบาตูปูเต๊ะ (ธารโต)” เป็นศูนย์กลาง จากกลุ่มเล็กๆ ที่ต่างคนต่างทำ ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกกลุ่มทั้งสิ้น 398 ราย ใน 11 ชุมชน มีเครือข่าย 20 กลุ่ม ครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอใน จ.ยะลา ได้แก่ ธารโต เบตง บันนังสตา กรงปินัง รามัน และ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส มีพื้นที่ปลูกรวมกัน 6,000 ไร่
ภายใต้กระบวนการจัดการทุเรียนคุณภาพของวิสาหกิจชุมชนพัฒนาคุณภาพทุเรียนบ้านบาตูปูเต๊ะ มุ่งเน้นการทำทุเรียนเพื่อส่งออกในนามทุเรียนยะลา สามารถสร้างทุเรียนหนามเขียว ซึ่งเป็นผลผลิตเด่นของยะลา ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ส่งออก สามารถส่งออกไปจีนได้ 27 ตู้คอนเทนเนอร์ สร้างรายได้ 300 ล้านบาท ในปี 2565 “วิสาหกิจชุมชนพัฒนาคุณภาพทุเรียนบ้านบาตูปูเต๊ะ (ธารโต)” เป็นกลุ่มเกษตรกรต้นแบบที่มีการพัฒนาอย่างครบถ้วน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มีการบริหารจัดการแบบครบวงจร
นอกจากจะเป็นผู้ปลูกแล้ว ทางกลุ่มยังได้มีการร่วมลงทุนของสมาชิกเปิดตลาดกลางรับซื้อทุเรียน การรวบรวมและการกระจายผลผลิตทุเรียนทุกเกรดจากสมาชิกและเกษตรกรทั่วไป ทั้งทุเรียนเกรด A B C ทุเรียนตกไซส์ หรือแม้กระทั่งทุเรียนมีหนอนรู ซึ่งมีกระบวนการจัดการนำมาแกะเนื้อทำเป็นทุเรียนแช่แข็ง เพิ่มมูลค่าทุเรียน โดยกลุ่มมีห้องเย็นเป็นของตัวเอง ใช้เงินลงทุน 20 ล้านบาท ถือเป็นห้องเย็นแห่งแรกของจังหวัดยะลา ที่มีเป็นกลุ่มเกษตรกรเป็นเจ้าของลงทุนเอง นอกเหนือจากห้องเย็นที่ภาครัฐ และผู้ประกอบการเป็นผู้ลงทุน
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่เกษตรกรเห็นโอกาสในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจใหม่ และการต่อยอดธุรกิจเดิม ยกระดับการบริหารจัดการ สร้างมูลค่าและคุณภาพ โดยการเพิ่มมาตรฐานการผลิต GAP มาตรฐาน GMP เกิดการเชื่อมโยงด้านการตลาดทุเรียนทั้งในและต่างประเทศ ยังมีการเชื่อมโยงพันธมิตรทางการค้าการลงทุน เพื่อส่งต่อไปตลาดคุณภาพ ช่วยสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร
สำหรับปี 2566 จะมีปริมาณผลผลิต 5,000 ตัน หรือ 5 ล้าน กก. มูลค่า 750 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2565 ประมาณ 43% และในอนาคตมีการวางแผนว่าจะขยายสมาชิกเครือข่ายกลุ่มผลิตทุเรียนคุณภาพเพิ่มอีก 4,000 ไร่ ภายในปี 2570 โดยเป้าหมายของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนพัฒนาคุณภาพทุเรียนบ้านบาตูปูเต๊ะ คือพัฒนาทุเรียนคุณภาพยะลาทั้งจังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุเรียนสะเด็ดน้ำ ซึ่งเป็นสินค้า GI ของจังหวัดยะลา ที่สามารถทำราคาเพิ่มได้ดี