ศูนย์ข่าวภูเก็ต - “จินต์ สถาพรสถิตสุข” นักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ ผู้ใช้การดีไซน์ สร้างแบรนด์ ของคนไทย “ไทยเวโตร” ผู้ผลิตเครื่องประดับจากแก้ว จนเป็นที่ยอมรับในในตลาดญี่ปุ่น และ ส่งออกไปขายกว่า 30 ประเทศ

พบกับความสำเร็จของคนรุ่นใหม่ “จินต์ สถาพรสถิตย์สุข” เจ้าของแบรนด์ THAIVETRO (ไทยเวโตร) ผู้ที่ใช้การออกแบบดีไซน์ ในการสร้างแบรนด์ ของคนไทยจนได้รับการยอมรับจากคนญี่ปุ่น ที่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ ไม่มีฐานทางการเงินที่สนับสนุนจากรุ่นพ่อ - แม่ แต่สามารถฝ่าฝัน นำบริษัท THAIVETRO (ไทยเวโตร) ซึ่งเป็นผู้ผลิต เครื่องประดับจากแก้ว แฮนด์คราฟ ที่ส่งออกไปขายมากถึง 30 ประเทศ มีวางจำหน่ายกว่า 20 เมืองในประเทศญี่ปุ่น ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการแข่งขันสูง ทั้งด้านการขายและการออกแบบสินค้า

นอกจากนั้นยังมีสาขาที่ จตุจักร พลาซ่า กรุงเทพ, เซนทรัล ฟรอเรสต้า ภูเก็ต ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ผู้ประกอบการไทย สามารถนำแนวทางไปปรับใช้เพื่อเจาะตลาดประเทศญี่ปุ่นต่อไปได้ และยังเป็นเจ้าของร้านไอศครีม โฮมเมด ไทยเวโตร โอลด์ทาวน์ ที่มีความแตกต่างไม่เหมือนใคร ย่านเมืองเก่าภูเก็ตรวมทั้งเป็นคาแรคเตอร์ดีไซน์ คนให้กำเนิด “มาสคอตภูเก็ต” “น้องจุ้ง” เด็กน้อยในร่างกุ้งมังกร

“จินต์ สถาพรสถิตย์สุข” เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด เกิดมาในครอบครัวไม่ร่ำรวย คุณแม่ขายกับข้าวรถเข็นปากซอย ส่วนคุณพ่อขายลอตเตอรี่ ส่งเรียนจนจบ ทางด้าน โปรดักส์ดีไซน์ หรือ การออกแบบผลิตภัณฑ์จากมหาวิทยาลัยราชราชภัฏสวนสุนันทา เริ่มรับงานตั้งแต่เรียนปีสุดท้ายกับแฟนที่เป็นดีไซเนอร์ หลักเรียนจบมาด้านเดียวกัน โดยการเป็นฟรีแลนซ์ รับออกแบบกราฟฟิก, เว็ปไซต์ ให้กับบริษัทต่างๆ เป็นเวลา 2 ปี แม้รายได้ดีแต่งานมีมาไม่ต่อเนื่อง ประกอบกับในช่วงเวลานั้นตลาดส่งออกในไทยเริ่มโต สินค้าโอทอป กำลังได้รับความนิยมในต่างประเทศ

ด้วยการจบทางด้านออกแบบสินค้ามาอยากมีสินค้าแบรนด์ตัวเอง จึงเริ่มใช้เงินทุนที่เก็บมา ออกแบบและจ้างกลุ่มแม่บ้านโอทอปผลิตสินค้า สินค้าแรก เป็นเปล มีทั้งเปลผ้าไหม เปลผ้าฝ้าย เปลถัก แต่ความรู้ด้านการตลาดไม่มี หาลูกค้าส่งออกไม่ได้ จึงเลือกไปออกงานแสดงสินค้าต่างประเทศเอง โดยไปกับกรมส่งเสริมการส่งออก ได้รับคำแนะนำว่าควรจัดตั้งบริษัท เพื่อความน่าเชื่อถือ จึงเริ่มจดทะเบียนเป็นบริษัททั้งที่ยังรายได้น้อย การไม่มีความรู้ในการจัดการบริหารเงิน ก็ทำให้ติดลบตั้งแต่การเริ่มทำธุรกิจ

หลังออกงานแสดงสินค้าครั้งแรกที่ดูไบ สินค้าที่นำไปได้รับการตอบรับดี ขายหมดในงาน แต่การรับออเดอร์ มีความยุ่งยาก ทั้งขั้นตอนเอกสาร เครดิตการจ่ายเงิน การควบคุมคุณภาพการผลิต ด้วยเหตุที่กระจายการผลิตไปตามกลุ่มแม่บ้าน ทำให้ไม่สามารถรักษาคุณภาพสินค้าได้ จนต้องล้มเลิกการผลิตของตัวเองไป แต่ก็ทำให้ได้รู้ว่าการออกงานแสดงสินค้า สามารถขายปลีกได้ดี จึงเปลี่ยนแนวมาเป็นการนำสินค้าไทยประเภทต่างๆ ที่ต่างชาติต้องการไปจำหน่ายปลีก ตามงานแสดงสินค้าตามประเทศต่างๆแทน

โดยไปออกงานหลายเมือง ทั้งใน เยอรมัน อินเดีย จีน สามารถสร้างรายรับได้มากพอจะเริ่มตั้งตัวได้ แต่การซื้อมาขายไปก็พบปัญหาใหม่ คือ สินค้าจำนวนมากหรือชิ้นใหญ่ๆต้องใช้การส่งไปทางเรือ ทำให้เกิดเสี่ยงในการขนส่ง บางงานจัดส่งมาไม่ทันวันเริ่มงาน ทำให้พบกับการขาดทุน จากค่าใช้จ่าย ค่าบูธ ค่าเดินทาง ค่าสต็อกสินค้า ค่าขนส่ง ที่มีมูลค่าสูง

จากปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ทำให้เข้าใจว่าหากเราจะขายสินค้าใด ต้องตอบให้ได้ว่า ลูกค้าคือใคร กลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มไหน สินค้าที่ลูกค้าที่นั่นต้องการเป็นอย่างไร ช่องว่างที่ยังมีคือแบบไหน เลือกช่องทางการขายแบบใดถึงตรงกลุ่มที่ต้องการ และ ด้วยความมุ่งมั่นอยากมีสินค้าเป็นแบรนด์ของตัวเองให้ได้ จึงทบทวน เลือกไปที่เครื่องประดับเป็นสินค้าที่ได้ราคาดี ขนส่งสะดวกเหมาะกับการส่งออกและนำไปขายในต่างประเทศสามารถแก้ไขจุดอ่อนที่เคยผ่านมา เลือกผลิตเองเพื่อควบคุมคุณภาพ และด้วยต้นทุนที่มีน้อย ไม่สามารถลงทุนซื้อ เพชร พลอย เงิน ทอง ที่มีต้นทุนสูงมาเป็นวัตถุดิบได้ จึงตัดสินใจเลือกวัสดุเป็นแก้ว ที่สามารถขึ้นรูปทรงอิสระเป็นอะไรก็ได้ ต้นทุนไม่สูง ใช้ความสามารถด้านดีไซน์ที่มีอยู่ ออกแบบใส่เรื่องราวต่างๆลงไป เพิ่มมูลค่าสินค้าให้มากยิ่งขึ้นได้

จึงเริ่มต้นฝึกหลอมแก้ว โดยใช้โรงรถที่บ้าน เป็นโรงงานผลิตเครื่องประดับจากแก้ว ระยะแรกมีคนงาน 4 คน ส่งขายหน้าร้านที่จตุจักร รับออเดอร์จากลูกค้าต่างชาติ และ ออกงานแสดงสินค้าตามประเทศที่ผู้คนชื่นชอบงานแฮนด์เมด เช่น เยอรมัน ออสเตรีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และอาเซียน

“จินต์” เล่าอีกว่า หลังจากธุรกิจได้รับการตอบรับดี มีออเดอร์เข้ามามากขึ้น เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ออกมาเพียงพอกับความต้องการ และอยากขยายการขายปลีกในประเทศกลุ่มลูกค้าอยู่ในเมืองท่องเที่ยว จึงได้ตัดสินใจมาเปิดร้านค้าที่ภูเก็ตซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ และ มาสร้างโรงงาน ที่ อ.ตะกั่วป่า ซึ่งเป็นบ้านของครอบครัวภรรยา ซึ่งตอนนี้มีคนงานเพิ่มขึ้นเป็น 20 คน โดยเดือนหนึ่งสามารถผลิตสินค้าได้ประมาณ 1 หมื่นชิ้น ซึ่งถือว่าธุรกิจผลิตเครื่องประดับจากแก้วกำลังไปได้ดีโดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น

“จินต์” จึงเริ่มทำตลาดในญี่ปุ่นอย่างจริงจัง เริ่มต้นจากการไปออกงานเทศกาลไทย โตเกียว โอซาก้า ได้พบกับลูกค้าจำนวนมากที่ชื่นชอบสินค้าของเรา แม้ในช่วงแรกจะไม่กำไรมากเพราะต้นทุนที่สูง แต่เพราะเห็นถึงย่านการค้าที่มีจำนวนมากมาย ตลาดที่มีขนาดใหญ่ ทำให้อยากนำสินค้าไปเจาะตลาดญี่ปุ่นให้ได้ จึงเริ่มออกแบบสินค้าลวดลายที่ตอบโจทย์ชาวญี่ปุ่นมากขึ้น เพิ่มคอลเลคชั่นให้ตอบโจทย์หลายกลุ่ม เช่น ลวดลายตามฤดูกาล หิมะ ดอกไม้ เอกลักษณ์ของเมืองต่างๆ ออกแบบคอลเลคชั่น แมว ของนำโชค และ อีกกว่า 200 แบบ ซึ่งการออกงานต่างๆ ทำให้ได้รับความเห็นของลูกค้า จึงนำความคิดเห็นมาปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้งานออกมาตรงกับความต้องการของลูกค้าเพิ่มมากขึ้น

หลังจากไปออกงานบ่อยขึ้น ทำให้ได้ทีมงานที่เชี่ยวชาญตลาดญี่ปุ่น จึงเริ่มลงทุนออกงานใหญ่ขึ้น เช่น งานโตเกียวกิ้ฟโชว์ งานสำคัญประจำปี (ค่าบูธสูงกว่าที่ไทยมาก) เพื่อให้ได้พบกับกลุ่มลูกค้าที่ตรงกลุ่มทั้ง ผู้นำเข้า ฝ่ายจัดซื้อ เจ้าของร้าน ผู้กระจายสินค้า เมื่อไปออกงานหลายๆงาน ทำให้คนญี่ปุ่นเชื่อมั่นว่ายังคงอยู่ไม่หายไปไหน จึงสนใจลองสั่งไปจำหน่าย ทำให้ได้พาร์ทเนอร์เพิ่มขึ้น ขยายจุดวางจำหน่ายไปหลายเมืองในญี่ปุ่น จนถึงขณะนี้มีการวางจำหน่ายเครื่องประดับผลิตจากแก้ว แบรนด์ THAIVETRO ซึ่งเป็นแบรนด์ของคนไทยมากกว่า 20 เมือง

และด้วยความสู้ไม่ถอย ไปทุกโอกาสที่ได้เจอลูกค้า แม้ว่าในการไปออกงานในแต่ละครั้งจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก แต่สิ่งที่ได้รับตามมาถือว่าคุ้มค่ามาก เช่น ครั้งหนึ่งที่ไปออกงานที่สนามบิน นิวชิโตเสะ ซับโปโร ได้เจอพาร์ทเนอร์ คนสำคัญ สามารถวางจำหน่ายในโรงแรม 5 ดาว ทั่วเกาะฮอกไกโด และขยายไปหลายเมือง รวมทั้งรับออกแบบดีไซน์ให้ตรงกลุ่มมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ โรงแรม มหาวิทยาลัย บริษัทต่างๆ เช่นเครื่องประดับทีมฟุตบอลในเจลีค เช่น คอนซาโดเร่ ซับโปโร, ซานเฟรเซ่ ฮิโรชิม่า, เซเรโซ่ โอซาก้า, ทีมเบสบอล, ตัวละคร โปเกมอน, อุลต้าแมน, นักร้อง Yuki Miku ,ภาพยนต์อนิเมะ Tenki nook

แต่สิ่งสำคัญในการส่งสินค้าไปขายที่ญี่ปุ่น คือ การผลิตจะต้องรักษาคุณภาพ ในระดับที่ละเอียดและสูงมากซึ่งก็เป็นผลดีกับทางบริษัท ที่ทำให้มาตรฐานการผลิตของเราสูงขึ้นด้วย นับเป็นเป็นความภูมิใจที่ทำให้คนญี่ปุ่นทึ่ง และยอมรับในการออกแบบ และการผลิตฝีมือคนไทย

“จินต์” ยังไม่หยุดแค่นี้ ยังหันมาเปิดร้าน THAIVETRO OLDTOWN ไอศกรีม โฮมเมดที่ย่านท่องเที่ยวเมืองเก่าภูเก็ต พร้อมกับเครื่องประดับที่ทำจากแก้วด้วย เนื่องจากเป็นคนชอบทานไอศกรีม เวลาเดินทางไปในเมืองท่องเที่ยวตามประเทศต่างๆ จะเห็นร้านไอศครีมมากมาย ด้วยสาขานี้ตั้งอยู่ บริเวณถนนเยาวราช ใกล้กับถนนถลาง เป็นย่านท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองเก่าภูเก็ต จึงต้องการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้นักท่องเที่ยวผู้มาเยือน จดจำภูเก็ตให้ได้ผ่านTHAIVETRO OLDTOWN ไอศกรีม โฮมเมด

โดยนำวัตถุดิบเด่นๆของภูเก็ตมาทำเป็นไอศกรีม เช่น นมแพะ ขนมเต้าซ้อไข่เค็ม สับปะรดภูเก็ต ต้มยำกุ้ง มังคุด ข้าวไร่ดอกข่า มาทำเป็นไอศกรีมที่แตกต่างและไม่เหมือนที่อื่น รวมทั้งสามารถเล่าเรื่องราวผ่านไอศกรีมและสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าเกี่ยวกับเมืองเก่าภูเก็ต ให้สมกับที่เมืองได้รางวัล Phuket Creative City of Gastronomy by UNESCO อีกด้วย

นอกจากนั้นยังมีรสชาติที่แปลกอีกกว่า 70 ชนิด เช่น เรดบลู บลูภูเก็ตวอดก้า กล้วยบวชชี มะม่วงเบา มะม่วงน้ำปลาหวาน โดยสั่งวัตถุดับที่ดีที่สุดมาทำ เช่น ชาเขียว โฮจิฉะ สั่งมากจาก เมือง อุจิ เกียวโต, ส้มยูซุจาก เมืองมิยาซากิ, วนิลา นำเข้าจาก มาดากัสก้า และยังมีวาฟเฟิลโคนทำสดทุกวัน ให้เลือกทานคู่กับไอศกรีม

“จินต์” บอกว่า ปีหน้ามีเป้าหมายที่จะ นำทั้งไอศกรีม และเครื่องประดับจากแก้ว ( Ice Cream and Glass Jewelry) ไปเปิดสาขา จำหน่ายที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นจุดกระจายสินค้า โดยจะออกแบบสร้างให้เป็นจุดท่องเที่ยวในย่านที่ตั้ง และ จะเปิดพื้นที่เพื่อนำเข้าสินค้าไทยที่มีดีไซน์ตอบโจทย์ลูกค้าที่ญี่ปุ่น เพื่อกระจายสินค้าแบรนด์ไทย ให้เป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น เพราะสินค้าไทยเป็นสินค้าที่ดีและมีมาตรฐานและเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีแน่นอน

แต่จะกว่ามาเป็น THAIVETRO ทั้งในส่วนของเครื่องประดับจากแก้ว และ ไอศกรีม “จินต์” ต้องใช้ความพยายามในการที่ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องความรู้ทางด้านธุรกิจ การทำตลาดที่ไม่เคยมีเลย เงินทุนที่มีเล็กน้อย คอนเนคชั่นต่ำ ต้นทุนชีวิตมีไม่มากเหมือนคนอื่น แต่เขาก็สู้ไม่ถอย คว้าทุกโอกาส เติมความรู้อยู่เสมอ ดึงทีมงานที่เก่ง ใช้การดีไซน์สร้างความแตกต่าง และ ที่สำคัญกล้าที่จะก้าวออกมาสู้ มีความมุ่งมั่นและตั้งใจ ทำเป้าหมายที่วางไว้ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม จนถึงขณะนี้นับว่าเป็นนักธุรกิจเจ้าของแบรนด์คนไทยที่ได้รับการยอมรับจากตลาดญี่ปุ่น และตลาดอื่นๆอีก 30 ประเทศ





พบกับความสำเร็จของคนรุ่นใหม่ “จินต์ สถาพรสถิตย์สุข” เจ้าของแบรนด์ THAIVETRO (ไทยเวโตร) ผู้ที่ใช้การออกแบบดีไซน์ ในการสร้างแบรนด์ ของคนไทยจนได้รับการยอมรับจากคนญี่ปุ่น ที่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ ไม่มีฐานทางการเงินที่สนับสนุนจากรุ่นพ่อ - แม่ แต่สามารถฝ่าฝัน นำบริษัท THAIVETRO (ไทยเวโตร) ซึ่งเป็นผู้ผลิต เครื่องประดับจากแก้ว แฮนด์คราฟ ที่ส่งออกไปขายมากถึง 30 ประเทศ มีวางจำหน่ายกว่า 20 เมืองในประเทศญี่ปุ่น ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการแข่งขันสูง ทั้งด้านการขายและการออกแบบสินค้า
นอกจากนั้นยังมีสาขาที่ จตุจักร พลาซ่า กรุงเทพ, เซนทรัล ฟรอเรสต้า ภูเก็ต ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ผู้ประกอบการไทย สามารถนำแนวทางไปปรับใช้เพื่อเจาะตลาดประเทศญี่ปุ่นต่อไปได้ และยังเป็นเจ้าของร้านไอศครีม โฮมเมด ไทยเวโตร โอลด์ทาวน์ ที่มีความแตกต่างไม่เหมือนใคร ย่านเมืองเก่าภูเก็ตรวมทั้งเป็นคาแรคเตอร์ดีไซน์ คนให้กำเนิด “มาสคอตภูเก็ต” “น้องจุ้ง” เด็กน้อยในร่างกุ้งมังกร
“จินต์ สถาพรสถิตย์สุข” เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด เกิดมาในครอบครัวไม่ร่ำรวย คุณแม่ขายกับข้าวรถเข็นปากซอย ส่วนคุณพ่อขายลอตเตอรี่ ส่งเรียนจนจบ ทางด้าน โปรดักส์ดีไซน์ หรือ การออกแบบผลิตภัณฑ์จากมหาวิทยาลัยราชราชภัฏสวนสุนันทา เริ่มรับงานตั้งแต่เรียนปีสุดท้ายกับแฟนที่เป็นดีไซเนอร์ หลักเรียนจบมาด้านเดียวกัน โดยการเป็นฟรีแลนซ์ รับออกแบบกราฟฟิก, เว็ปไซต์ ให้กับบริษัทต่างๆ เป็นเวลา 2 ปี แม้รายได้ดีแต่งานมีมาไม่ต่อเนื่อง ประกอบกับในช่วงเวลานั้นตลาดส่งออกในไทยเริ่มโต สินค้าโอทอป กำลังได้รับความนิยมในต่างประเทศ
ด้วยการจบทางด้านออกแบบสินค้ามาอยากมีสินค้าแบรนด์ตัวเอง จึงเริ่มใช้เงินทุนที่เก็บมา ออกแบบและจ้างกลุ่มแม่บ้านโอทอปผลิตสินค้า สินค้าแรก เป็นเปล มีทั้งเปลผ้าไหม เปลผ้าฝ้าย เปลถัก แต่ความรู้ด้านการตลาดไม่มี หาลูกค้าส่งออกไม่ได้ จึงเลือกไปออกงานแสดงสินค้าต่างประเทศเอง โดยไปกับกรมส่งเสริมการส่งออก ได้รับคำแนะนำว่าควรจัดตั้งบริษัท เพื่อความน่าเชื่อถือ จึงเริ่มจดทะเบียนเป็นบริษัททั้งที่ยังรายได้น้อย การไม่มีความรู้ในการจัดการบริหารเงิน ก็ทำให้ติดลบตั้งแต่การเริ่มทำธุรกิจ
หลังออกงานแสดงสินค้าครั้งแรกที่ดูไบ สินค้าที่นำไปได้รับการตอบรับดี ขายหมดในงาน แต่การรับออเดอร์ มีความยุ่งยาก ทั้งขั้นตอนเอกสาร เครดิตการจ่ายเงิน การควบคุมคุณภาพการผลิต ด้วยเหตุที่กระจายการผลิตไปตามกลุ่มแม่บ้าน ทำให้ไม่สามารถรักษาคุณภาพสินค้าได้ จนต้องล้มเลิกการผลิตของตัวเองไป แต่ก็ทำให้ได้รู้ว่าการออกงานแสดงสินค้า สามารถขายปลีกได้ดี จึงเปลี่ยนแนวมาเป็นการนำสินค้าไทยประเภทต่างๆ ที่ต่างชาติต้องการไปจำหน่ายปลีก ตามงานแสดงสินค้าตามประเทศต่างๆแทน
โดยไปออกงานหลายเมือง ทั้งใน เยอรมัน อินเดีย จีน สามารถสร้างรายรับได้มากพอจะเริ่มตั้งตัวได้ แต่การซื้อมาขายไปก็พบปัญหาใหม่ คือ สินค้าจำนวนมากหรือชิ้นใหญ่ๆต้องใช้การส่งไปทางเรือ ทำให้เกิดเสี่ยงในการขนส่ง บางงานจัดส่งมาไม่ทันวันเริ่มงาน ทำให้พบกับการขาดทุน จากค่าใช้จ่าย ค่าบูธ ค่าเดินทาง ค่าสต็อกสินค้า ค่าขนส่ง ที่มีมูลค่าสูง
จากปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ทำให้เข้าใจว่าหากเราจะขายสินค้าใด ต้องตอบให้ได้ว่า ลูกค้าคือใคร กลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มไหน สินค้าที่ลูกค้าที่นั่นต้องการเป็นอย่างไร ช่องว่างที่ยังมีคือแบบไหน เลือกช่องทางการขายแบบใดถึงตรงกลุ่มที่ต้องการ และ ด้วยความมุ่งมั่นอยากมีสินค้าเป็นแบรนด์ของตัวเองให้ได้ จึงทบทวน เลือกไปที่เครื่องประดับเป็นสินค้าที่ได้ราคาดี ขนส่งสะดวกเหมาะกับการส่งออกและนำไปขายในต่างประเทศสามารถแก้ไขจุดอ่อนที่เคยผ่านมา เลือกผลิตเองเพื่อควบคุมคุณภาพ และด้วยต้นทุนที่มีน้อย ไม่สามารถลงทุนซื้อ เพชร พลอย เงิน ทอง ที่มีต้นทุนสูงมาเป็นวัตถุดิบได้ จึงตัดสินใจเลือกวัสดุเป็นแก้ว ที่สามารถขึ้นรูปทรงอิสระเป็นอะไรก็ได้ ต้นทุนไม่สูง ใช้ความสามารถด้านดีไซน์ที่มีอยู่ ออกแบบใส่เรื่องราวต่างๆลงไป เพิ่มมูลค่าสินค้าให้มากยิ่งขึ้นได้
จึงเริ่มต้นฝึกหลอมแก้ว โดยใช้โรงรถที่บ้าน เป็นโรงงานผลิตเครื่องประดับจากแก้ว ระยะแรกมีคนงาน 4 คน ส่งขายหน้าร้านที่จตุจักร รับออเดอร์จากลูกค้าต่างชาติ และ ออกงานแสดงสินค้าตามประเทศที่ผู้คนชื่นชอบงานแฮนด์เมด เช่น เยอรมัน ออสเตรีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และอาเซียน
“จินต์” เล่าอีกว่า หลังจากธุรกิจได้รับการตอบรับดี มีออเดอร์เข้ามามากขึ้น เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ออกมาเพียงพอกับความต้องการ และอยากขยายการขายปลีกในประเทศกลุ่มลูกค้าอยู่ในเมืองท่องเที่ยว จึงได้ตัดสินใจมาเปิดร้านค้าที่ภูเก็ตซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ และ มาสร้างโรงงาน ที่ อ.ตะกั่วป่า ซึ่งเป็นบ้านของครอบครัวภรรยา ซึ่งตอนนี้มีคนงานเพิ่มขึ้นเป็น 20 คน โดยเดือนหนึ่งสามารถผลิตสินค้าได้ประมาณ 1 หมื่นชิ้น ซึ่งถือว่าธุรกิจผลิตเครื่องประดับจากแก้วกำลังไปได้ดีโดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น
“จินต์” จึงเริ่มทำตลาดในญี่ปุ่นอย่างจริงจัง เริ่มต้นจากการไปออกงานเทศกาลไทย โตเกียว โอซาก้า ได้พบกับลูกค้าจำนวนมากที่ชื่นชอบสินค้าของเรา แม้ในช่วงแรกจะไม่กำไรมากเพราะต้นทุนที่สูง แต่เพราะเห็นถึงย่านการค้าที่มีจำนวนมากมาย ตลาดที่มีขนาดใหญ่ ทำให้อยากนำสินค้าไปเจาะตลาดญี่ปุ่นให้ได้ จึงเริ่มออกแบบสินค้าลวดลายที่ตอบโจทย์ชาวญี่ปุ่นมากขึ้น เพิ่มคอลเลคชั่นให้ตอบโจทย์หลายกลุ่ม เช่น ลวดลายตามฤดูกาล หิมะ ดอกไม้ เอกลักษณ์ของเมืองต่างๆ ออกแบบคอลเลคชั่น แมว ของนำโชค และ อีกกว่า 200 แบบ ซึ่งการออกงานต่างๆ ทำให้ได้รับความเห็นของลูกค้า จึงนำความคิดเห็นมาปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้งานออกมาตรงกับความต้องการของลูกค้าเพิ่มมากขึ้น
หลังจากไปออกงานบ่อยขึ้น ทำให้ได้ทีมงานที่เชี่ยวชาญตลาดญี่ปุ่น จึงเริ่มลงทุนออกงานใหญ่ขึ้น เช่น งานโตเกียวกิ้ฟโชว์ งานสำคัญประจำปี (ค่าบูธสูงกว่าที่ไทยมาก) เพื่อให้ได้พบกับกลุ่มลูกค้าที่ตรงกลุ่มทั้ง ผู้นำเข้า ฝ่ายจัดซื้อ เจ้าของร้าน ผู้กระจายสินค้า เมื่อไปออกงานหลายๆงาน ทำให้คนญี่ปุ่นเชื่อมั่นว่ายังคงอยู่ไม่หายไปไหน จึงสนใจลองสั่งไปจำหน่าย ทำให้ได้พาร์ทเนอร์เพิ่มขึ้น ขยายจุดวางจำหน่ายไปหลายเมืองในญี่ปุ่น จนถึงขณะนี้มีการวางจำหน่ายเครื่องประดับผลิตจากแก้ว แบรนด์ THAIVETRO ซึ่งเป็นแบรนด์ของคนไทยมากกว่า 20 เมือง
และด้วยความสู้ไม่ถอย ไปทุกโอกาสที่ได้เจอลูกค้า แม้ว่าในการไปออกงานในแต่ละครั้งจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก แต่สิ่งที่ได้รับตามมาถือว่าคุ้มค่ามาก เช่น ครั้งหนึ่งที่ไปออกงานที่สนามบิน นิวชิโตเสะ ซับโปโร ได้เจอพาร์ทเนอร์ คนสำคัญ สามารถวางจำหน่ายในโรงแรม 5 ดาว ทั่วเกาะฮอกไกโด และขยายไปหลายเมือง รวมทั้งรับออกแบบดีไซน์ให้ตรงกลุ่มมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ โรงแรม มหาวิทยาลัย บริษัทต่างๆ เช่นเครื่องประดับทีมฟุตบอลในเจลีค เช่น คอนซาโดเร่ ซับโปโร, ซานเฟรเซ่ ฮิโรชิม่า, เซเรโซ่ โอซาก้า, ทีมเบสบอล, ตัวละคร โปเกมอน, อุลต้าแมน, นักร้อง Yuki Miku ,ภาพยนต์อนิเมะ Tenki nook
แต่สิ่งสำคัญในการส่งสินค้าไปขายที่ญี่ปุ่น คือ การผลิตจะต้องรักษาคุณภาพ ในระดับที่ละเอียดและสูงมากซึ่งก็เป็นผลดีกับทางบริษัท ที่ทำให้มาตรฐานการผลิตของเราสูงขึ้นด้วย นับเป็นเป็นความภูมิใจที่ทำให้คนญี่ปุ่นทึ่ง และยอมรับในการออกแบบ และการผลิตฝีมือคนไทย
“จินต์” ยังไม่หยุดแค่นี้ ยังหันมาเปิดร้าน THAIVETRO OLDTOWN ไอศกรีม โฮมเมดที่ย่านท่องเที่ยวเมืองเก่าภูเก็ต พร้อมกับเครื่องประดับที่ทำจากแก้วด้วย เนื่องจากเป็นคนชอบทานไอศกรีม เวลาเดินทางไปในเมืองท่องเที่ยวตามประเทศต่างๆ จะเห็นร้านไอศครีมมากมาย ด้วยสาขานี้ตั้งอยู่ บริเวณถนนเยาวราช ใกล้กับถนนถลาง เป็นย่านท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองเก่าภูเก็ต จึงต้องการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้นักท่องเที่ยวผู้มาเยือน จดจำภูเก็ตให้ได้ผ่านTHAIVETRO OLDTOWN ไอศกรีม โฮมเมด
โดยนำวัตถุดิบเด่นๆของภูเก็ตมาทำเป็นไอศกรีม เช่น นมแพะ ขนมเต้าซ้อไข่เค็ม สับปะรดภูเก็ต ต้มยำกุ้ง มังคุด ข้าวไร่ดอกข่า มาทำเป็นไอศกรีมที่แตกต่างและไม่เหมือนที่อื่น รวมทั้งสามารถเล่าเรื่องราวผ่านไอศกรีมและสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าเกี่ยวกับเมืองเก่าภูเก็ต ให้สมกับที่เมืองได้รางวัล Phuket Creative City of Gastronomy by UNESCO อีกด้วย
นอกจากนั้นยังมีรสชาติที่แปลกอีกกว่า 70 ชนิด เช่น เรดบลู บลูภูเก็ตวอดก้า กล้วยบวชชี มะม่วงเบา มะม่วงน้ำปลาหวาน โดยสั่งวัตถุดับที่ดีที่สุดมาทำ เช่น ชาเขียว โฮจิฉะ สั่งมากจาก เมือง อุจิ เกียวโต, ส้มยูซุจาก เมืองมิยาซากิ, วนิลา นำเข้าจาก มาดากัสก้า และยังมีวาฟเฟิลโคนทำสดทุกวัน ให้เลือกทานคู่กับไอศกรีม
“จินต์” บอกว่า ปีหน้ามีเป้าหมายที่จะ นำทั้งไอศกรีม และเครื่องประดับจากแก้ว ( Ice Cream and Glass Jewelry) ไปเปิดสาขา จำหน่ายที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นจุดกระจายสินค้า โดยจะออกแบบสร้างให้เป็นจุดท่องเที่ยวในย่านที่ตั้ง และ จะเปิดพื้นที่เพื่อนำเข้าสินค้าไทยที่มีดีไซน์ตอบโจทย์ลูกค้าที่ญี่ปุ่น เพื่อกระจายสินค้าแบรนด์ไทย ให้เป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น เพราะสินค้าไทยเป็นสินค้าที่ดีและมีมาตรฐานและเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีแน่นอน
แต่จะกว่ามาเป็น THAIVETRO ทั้งในส่วนของเครื่องประดับจากแก้ว และ ไอศกรีม “จินต์” ต้องใช้ความพยายามในการที่ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องความรู้ทางด้านธุรกิจ การทำตลาดที่ไม่เคยมีเลย เงินทุนที่มีเล็กน้อย คอนเนคชั่นต่ำ ต้นทุนชีวิตมีไม่มากเหมือนคนอื่น แต่เขาก็สู้ไม่ถอย คว้าทุกโอกาส เติมความรู้อยู่เสมอ ดึงทีมงานที่เก่ง ใช้การดีไซน์สร้างความแตกต่าง และ ที่สำคัญกล้าที่จะก้าวออกมาสู้ มีความมุ่งมั่นและตั้งใจ ทำเป้าหมายที่วางไว้ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม จนถึงขณะนี้นับว่าเป็นนักธุรกิจเจ้าของแบรนด์คนไทยที่ได้รับการยอมรับจากตลาดญี่ปุ่น และตลาดอื่นๆอีก 30 ประเทศ