xs
xsm
sm
md
lg

นักธุรกิจสาวทายาทเจ้าของบ้านจัดสรรที่สงขลา โต้อดีตสามีสร้างเรื่องฟ้องร้อง แฉหวังแบ่งสมบัตินับ 100 ล.

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - นักธุรกิจสาวทายาทเจ้าของบ้านจัดสรรรายใหญ่ใน จ.สงขลา ออกตอบโต้เพื่อทวงความเป็นธรรม หลังถูกอดีตสามีฟ้องร้องขอแบ่งสมบัตินับ 100 ล้านบาท และคดีที่เป็นชู้กับผู้กำกับ แฉเบื้องหลังอดีตสามีไม่ใช่นักธุรกิจ 100 ล. มาแค่ตัวได้ดีเพราะครอบครัวให้

วันนี้ (30 ส.ค.) น.ส.ฉัตรแก้ว ธนินทรานนท์ นักธุรกิจสาว ซึ่งเป็นทาญาตินักธุรกิจบ้านจัดสรรรายใหญ่ใน จ.สงขลา ได้ออกมาชี้แจ้งข้อเท็จจริง และขอความเป็นธรรม จากกรณีที่ถูก นายพินิจ รุจิรวนิช หรือทอมมี่ นักธุรกิจบ้านจัดสรร ซึ่งเป็นอดีตสามีที่หย่าร้างกันมากว่า 2 ปี ฟ้องร้องแบ่งทรัพย์สินมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท จำนวน 14 คดี รวมถึงฟ้องร้องเรื่องที่อ้างว่ามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับนายตำรวจระดับผู้กำกับนายหนึ่ง และที่ผ่านมาอดีตสามีได้นำเรื่องนี้ไปเปิดเผยกับสื่อมวลชนเพียงด้านเดียว

โดย น.ส.ฉัตรแก้ว เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ตนกับอดีตสามีหย่าขาดจากกันมาตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2560 เนื่องจากมีปัญหาครอบครัว ซึ่งเป็นการหย่าด้วยความสมัครใจ ไม่ได้มีการฟ้องหย่า และมีการตกลงเรื่องสินสมรสกับจบแล้ว โดยอดีตสามีได้ทรัพย์สินไปมูลค่าประมาณ 25 ล้านบาท และหลังการหย่าทั้งสองฝ่ายได้ตกลงตามสัญญาจะไม่ติดใจเรียกร้องทรัพย์สินใดๆ ต่อกัน ทั้งไม่ติดใจเรียกร้องหรือดำเนินคดีเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ ต่อกัน ไม่ว่าต่อส่วนตัวหรือเกี่ยวกับทรัพย์สิน ทั้งทางแพ่งและอาญาอีกต่อไป

น.ส.ฉัตรแก้ว กล่าวอีกว่า แต่ต่อมาอดีตสามีกลับพยายามเรียกร้องที่จะแบ่งสินทรัพย์ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของพ่อตนที่ได้ฝากไว้ ทั้งในชื่อของตนและคนอื่นๆ ในครอบครัว สาเหตุที่ฟ้องเนื่องจากเกิดมีปัญหากับพ่อของตน ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดสงขลา ขณะที่พ่อไปทำเรื่องโอนที่ดิน และอดีตสามีไปแย่งโฉนดคืนจนฉีกขาด พ่อจึงไปแจ้งความไว้ที่ สภ.หาดใหญ่ จนมีการออกหมายจับ ทำให้อดีตสามีไม่พอใจเดินหน้าฟ้องร้องให้แบ่งทรัพย์สินมูลค่า 80 ล้านบาท รวมทั้งหมด 14 คดี โดยฟ้องเกี่ยวกับทรัพย์สิน ซึ่งเป็นของบิดารวม 10 คดี ศาลยกฟ้องทั้งหมด และกำลังฟ้องมาอีก 2 คดี และฟ้องในส่วนของตนอีก 4 คดี ศาลแขวงสงขลา ยกฟ้องคดียักยอก และให้รอลงอาญา 2 ปี อดีตสามีจึงไม่ได้รับเงินแม้แต่บาทเดียว ได้เพียงแค่สินสมรส 25 ล้านบาทที่ได้แบ่งกันไปแล้ว

ทีแรกในชั้นการไกล่เกลี่ย พ่อของตนจะให้เงินเพิ่มอีก 30 ล้านบาท เพื่อให้จบเรื่องทั้งหมด และให้กลับไปตั้งตัวที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเงินส่วนตัว และเงินเปอร์เซ็นต์จากการขายโครงการต่างๆ แต่นายพินิจ ยังขอเพิ่มอีก 2 ล้าน สุดท้ายก็ไม่ได้แม้แต่บาทเดียว เพราะเห็นว่าเรียกร้องมากเกินไป และให้ไปฟ้องร้องเอาเอง จึงกลายเป็นเรื่องบานปลายไม่จบ พยายามที่จะสร้างประเด็น และฟ้องร้องให้เป็นเรื่องขึ้นมา

น.ส.ฉัตรแก้ว ยังเปิดเผยอีกว่า ฝ่ายสามียังไม่ยอมหยุด พยายามที่จะเอาประเด็นต่างๆ มาเชื่อมโยง และฟ้องร้องเพิ่มเติม ซึ่งเป้าหมายเพียงแค่ต้องการกดดันตน และครอบครัว เพื่อให้แบ่งจากทรัพย์สินนับ 100 ล้านบาทเท่านั้น เช่น คดีฟ้องร้องเรื่องมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับนายตำรวจระดับผู้กำกับการนายหนึ่ง รวมถึงกรณีที่อ้างว่าลูกชายอายุ 6 ขวบ ไม่ใช่ลูกของตัวเอง ถึงขั้นพาไปตรวจดีเอ็นเอ และมีการโอนที่ดินให้กับผู้กำกับนายนี้ด้วย

น.ส.ฉัตรแก้ว อธิบายว่า ความเป็นมาของเรื่องนี้ โดยเฉพาะที่มีนายตำรวจระดับผู้กำกับเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้มีความสนิทสนมกับอดีตสามีเป็นอย่างดี เนื่องจากหลังจากที่มีการฟ้องกันขึ้น อดีตรองผู้กำกับนายนี้ คอยให้คำปรึกษาเรื่องคดีความ ทำให้อดีตสามีไม่พอใจ ส่วนเรื่องที่ดินครึ่งไร่ก็มีการซื้อขายกันถูกต้อง และก่อนที่จะหย่าร้าง ไม่ใช่โอนให้ฟรีๆ เหตุผลที่ผู้กำกับนายนี้ต้องซื้อที่ดิน เพราะตนได้ยืมเงินผู้กำกับมาราว 8 ล้านบาท เพื่อมาทำธุรกิจขายฝาก แต่ภายหลังธุรกิจซบเซา ลูกค้ามีปัญหาไม่ไถ่คืน ทางผู้กำกับจึงได้ซื้อเอาไว้ 1 แปลง และมีคนอื่นซื้อด้วยไม่แต่เฉพาะผู้กำกับคนเดียว
 

 
น.ส.ฉัตรแก้ว กล่าวว่า ทุกเรื่องที่ถูกอดีตสามีฟ้องร้อง ล้วนสร้างเรื่องขึ้นมาเอง แม้กระทั่งเอาเด็กมาเป็นตัวประกันว่าไม่ใช่ลูกตัวเอง และหลักฐานผลตรวจดีเอ็นเอที่ระบุว่าไม่ใช่ลูกของตัวเอง เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ และเสียความรู้สึกอย่างมาก ทำให้เด็กมีปัญหา และไม่ทราบว่าไปได้หลักฐานการตรวจมาได้อย่างไร ในรายงานการตรวจ ตนเองก็ไม่ได้ยืนยันกับหน่วยงานที่ขอตรวจให้ระบุชื่อเด็กที่ไปขอตรวจแต่อย่างใด และขณะตรวจบุตรทั้งสองอยู่ในความปกครองของตน ไม่เคยมาเยี่ยม มาดูแล ไม่เคยส่งเสียใดๆ เลย และคดีฟ้องไม่รับรองบุตร ศาลสั่งเพิกถอน เนื่องจากตนไม่พาบุตรไปตรวจตามที่สั่ง จึงมีคำสั่งถอดถอน และเป็นความประสงค์ของตน และครอบครัวเอง ซึ่งคดีนี้ศาลสั่งไม่ฟ้องตน มีเพียงผู้กำกับเท่านั้นที่ศาลชั้นต้นตัดสินให้จ่ายค่าเสียหาย 1 ล้านบาท แต่อยู่ระหว่างอุทธรณ์ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม เพราะไม่ใช่เรื่องจริง

น.ส.ฉัตรแก้ว กล่าวต่อว่า ที่ต้องออกมาตอบโต้ และชี้แจงข้อเท็จจริง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เงียบมาตลอด เพราะต้องการเรียกร้องความเป็นธรรม และบอกให้สังคมรู้ความจริง เนื่องจากอดีตสามียังพยายามที่จะทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะให้ได้เงินจากตน และครอบครัว

ซึ่งล่าสุดเมื่อวานนี้ (29 ส.ค.) ได้ทำหนังสือเข้ายื่นกับทางรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ปลดผู้กำกับคู่กรณีออกจากตำรวจ ซึ่งเหตุผลจริงๆ แล้วคือต้องการทำทุกทางเพื่อที่จะบีบให้ตน และครอบครัวแบ่งสมบัติให้ โดยทำให้ผู้กำกับนายนี้เดือดร้อน เพราะคอยช่วยเหลือครอบครัวตน

น.ส.ฉัตรแก้ว กล่าวว่า ใครที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับตน อดีตสามีฟ้องหมดไม่เฉพาะผู้กำกับ แม้แต่อัยการหรือทนายก็ถูกฟ้องร้องเช่นกัน จึงต้องการให้อดีตสามีหยุดทุกอย่าง เพราะความจริงของเรื่องนี้คือเพียงแค่ต้องการเงินเท่านั้น

น.ส.ฉัตรแก้ว ยังเล่าย้อนหลังถึงอดีตของสามีว่าเป็นคนกรุงเทพฯ และไม่มีอะไรติดตัว มาทำงานที่บริษัทของพ่อตนได้เงินเดือน 4 หมื่นบาท และได้รับการไว้วางใจ และมอบอำนาจให้ทำธุรกิจ ทั้งด้านที่ดิน และการเงินแทน ได้รับเงินเดือนจากบริษัทล่าสุดเดือนละ 125,000 บาท จนกระทั่งแต่งงานกับตน ซึ่งเงินสินสอดก็ไม่มีแม้แต่บาทเดียว เงินทุกอย่างในการจัดงานแต่งงานครอบครัวเป็นคนออกให้หมด และอดีตสามีก็ไม่ใช่นักธุรกิจร้อยล้าน เพราะทุกอย่างเป็นของพ่อตนทั้งหมด

สำหรับประเด็นที่มีนายตำรวจระดับผู้กำกับเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังผู้กำกับนายนี้ ได้เปิดเผยว่า ที่ตนถูกฟ้องร้องด้วย ทั้งเรื่องที่ดิน และเรื่องชู้สาว เพราะเข้าไปคอยให้คำปรึกษาด้านคดีความกับครอบครัวของ น.ส.ฉัตรแก้ว ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ จึงพยายามโยงเรื่องทุกอย่างเข้าด้วยกัน ทั้งเรื่องการโอนที่ดินให้ และเรื่องชู้สาว จนนำไปสู่การฟ้องร้องในชั้นศาล ซึ่งตนกับนายพินิจ รู้จักและสนิทสนมกัน สมัยที่นายพินิจเป็นกรรมการตำรวจของ สภ.หาดใหญ่ และตนยังอยู่ที่นั่น

รวมทั้งยังอธิบายถึงเรื่องที่ถูกโยงว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของ ร.ต.อ.วัชรินทร์ ที่ถูกยิงเสียชีวิต ว่ามาจากการที่ ร.ต.อ.วัชรินทร์ ออกมาแฉว่าตนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับภรรยานักธุรกิจ เป็นเพราะตนเป็นหนึ่งในกรรมการสอบ ร.ต.อ.วัชรินทร์ และเซ็นคำสั่งให้ปลดออกจากราชการ หลังจากที่ถูกตั้งกรรมการสอบ กรณีไปมีเรื่องกับชาวบ้าน ทำให้ ร.ต.อ.วัชรินทร์ โกรธมาก เพราะระหว่างถูกตั้งกรรมการสอบนั้นได้พยายามโทรมาเคลียร์กับตนตลอด

ต่อมา นายพินิจ ก็นำเรื่องที่ฟ้องร้องตนว่าเป็นชู้กับภรรยา ไปบอก ร.ต.อ.วัชรินทร์ และนำมาแฉผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งที่ผ่านมาตนพยายามเงียบมาตลอด และคดีนี้ก็ยังอยู่ในชั้นอุทธรณ์ ทั้งหมดจึงเป็นที่มาว่าทำไมตนถึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับครอบครัวนี้ตั้งแต่แรก จนบานปลายกลายเป็นข่าวผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งขณะนี้ตนก็ได้ฟ้องสื่อไปบางสำนักเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองด้วย แต่ที่ผ่านมาไม่ได้ตอบโต้อะไร และเงียบมาตลอด จึงกลายเป็นจำเลยสังคม

อ่านข่าวเกี่ยวเนื่อง :
หนุ่มนักธุรกิจก้มกราบรอง ผบช.ภ.9 ขอให้ปลด “พ.ต.อ.” พ้นราชการ หลังศาลพิพากษาเป็นชู้อดีตภรรยา
 


กำลังโหลดความคิดเห็น