ยะลา - นายอำเภอบันนังสตา สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ผู้นำชุมชน และผู้มีอิทธิพลมีเอี่ยวผลประโยชน์บุกรุกป่าสงวนนิคมสร้างตนเอง พร้อมสั่ง จนท.เข้าตรวจสอบพื้นที่ว่าเป็นจริงหรือไม่
วันนี้ (4 พ.ค.) จากกรณีที่มีสื่อได้เสนอข้อมูลเกี่ยวกับการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนนิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ ต.ตลิ่งชัน อ.บันนังสตา จ.ยะลา โดยข้อมูลได้ระบุถึงผู้นำชุมชน และกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ได้เข้าบุกรุกจับจองพื้นที่ป่าสงวน และป่าต้นน้ำในเขตนิคมสร้างตนเองเป็นจำนวนหลายสิบไร่ โดยมิได้เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง อีกทั้งยังท้าทายอำนาจรัฐในยุคของรัฐบาล คสช.อีกด้วย
ความคืบหน้าล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง นายธราวุธ ช่วยเกิด นายอำเภอบันนังสตา จ.ยะลา ถึงความคืบหน้าจากกรณีดังกล่าว นายอำเภอบันนังสตา ได้ระบุว่า ขณะนี้หลังจากที่มีข่าวสารที่ออกไปทางสื่อก็ได้มีการนำเรื่องดังกล่าวแจ้งไปยังจังหวัดยะลา เพื่อให้รับทราบแล้วถึง 2 ครั้งด้วยกัน ขณะที่จากข้อมูลที่เป็นไปตามสื่อนั้นได้สั่งการให้ทางอำเภอซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่ และให้ความยุติธรรมตามขั้นตอนกระบวนการทางระบบราชการ และทางกฎหมายที่กำหนดไว้ โดยตั้งคณะกรรมการสอบสวนผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน ภายใน 15 หรือ 30 วัน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง
“นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสนธิกำลังเข้าตรวจสอบพื้นที่ป่าสงวนนิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ ต.ตลิ่งชัน อ.บันนังสตา จ.ยะลา ว่า มีพื้นที่ป่าถูกบุกรุกจริงหรือไม่ หากตรวจสอบพบก็ต้องดำเนินการตามกฏหมายอย่างเด็ดขาด ส่วนพื้นที่ใดที่มีการปลูกพืชทางการเกษตรไว้แล้วนั้นก็ต้องว่ากันด้วย พ.ร.บ.การคุ้มครองป่าไม้ ซึ่งมีระเบียบการอยู่แล้ว” นายอำเภอบันนังสตา กล่าว
ขณะเดียวกัน มีข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข่าวในพื้นที่ แจ้งว่า กลุ่มบุคคล หรือกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่นั้นมิได้เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง แม้ว่าพื้นที่ป่าสงวนนิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ จะเคยถูกตรวจสอบพบการบุกรุกป่าไม้มาแล้ว เมื่อครั้ง นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ในขณะนั้น และพบการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้จริง จนนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดในครั้งนั้น แต่กลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ก็ยังไม่หยุดบุกรุกทำลายป่า แม้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ในพื้นที่จะรู้เห็นการกระทำ แต่ก็ไม่สามารถที่จะคัดค้านหรือต่อต้านได้ เนื่องจากหวาดกลัวอิทธิพล และความไม่ปลอดภัย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาชาวบ้านในพื้นที่ประสบปัญหาความแห้งแล้งในช่วงหน้าแล้ง ถึงกับที่ต้องมีการแย่งชิงน้ำเพื่อทำการเกษตรของตนเอง เพราะปัญหาขาดแคลนน้ำจากภาวะภัยแล้ง แต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง หรือสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ในการร่วมกันบริหารจัดการน้ำและทรัพยากรธรรมชาติ
นอกจากนี้ จากข้อมูลของแหล่งข่าวในพื้นที่ ระบุให้ทราบว่า กลุ่มผู้นำชุมชนไม่เห็นด้วยต่อการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แม้ว่าในพื้นที่เองจะมีสถานที่ทางธรรมชาติ มีพระตำหนักสุขทาลัย มีทะเลหมอกเขาปกโย๊ะ ซึ่งสามารถจะปรับให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนได้ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า ชาวบ้านบางกลุ่มเกรงว่า หากมีการพัฒนาแล้วจะมีบุคคลจากภายนอกเข้าไปสร้างความวุ่นวาย และเกิดความไม่สงบในหมู่บ้าน
อีกทั้งอาจจะรู้ถึงพื้นที่ป่าสงวนที่ถูกบุกรุก จนทำให้ได้รับความเดือดร้อน จึงอาจจะเป็นที่มาของการไม่นำพาในการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดความเจริญ แม้ว่าความจริงแล้วนั้นหากพื้นที่มีการพัฒนาไปในแนวทางที่ดี ประชาชนในพื้นที่ร่วมมือกันก็จะสามารถสร้างประโยชน์ และรายได้ให้แก่ประชาชนในทุกครัวเรือน อีกทั้งยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ลดภาพความรุนแรงให้แก่อำเภอบันนังสตา จากที่เคยเป็นมาในอดีตได้ด้วย