ปัตตานี - ศาลพิพากษา 10 ผู้ต้องหาคดีระเบิดเมืองปัตตานี ในห้วงเดือนมิถุนายน-ธันวาคม 2559 โดยประหารชีวิต 6 คน จำคุกตลอดชีวิต 3 คน และจำขัง 39 ปี 12 เดือน 1 คน
วันนี้ (2 พ.ค.) บริเวณหน้าร้านศรีปุตรี ข้างมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี รองผู้บังคับกองกำลังทหารพรานจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ร่วมกันแถลงข่าวกรณีศาลจังหวัดปัตตานีได้มีคำสั่งพิพากษาลงโทษ 10 ผู้ต้องหาคดีระเบิดเมืองปัตตานี ประกอบด้วย ประหารชีวิต 6 ราย จำคุกตลอดชีวิต 3 ราย และจำขัง 39 ปี 12 เดือน 1 ราย โดยมีรายละเอียดดังนี้
ตามที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายมะซัน หรือฮากิบ สาและ กับพวกรวม 10 คน ในความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย อั้งยี่ ซ่องโจร ก่อให้เกิดระเบิด ความผิดต่อชีวิตทำให้เสียทรัพย์ ความผิดต่อ พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน จากคดีเหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดร้านก๋วยเตี๋ยวเบิ้มนครปฐม หน้าตลาดโต้รุ่ง เมื่อวันที่ 24 ตค.59 ระเบิดร้าน JP เฟอร์นิเจอร์ เมื่อวันที่ 19 มิย.59 ระเบิดเรือประมง 2 ลำ เมื่อวันที่ 18 มิย.59 ระเบิดหน้าร้านศรีปุตรีข้างมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 3 กค.59 และขยายผลตรวจยึดอาวุธปืนพก และอุปกรณ์ประกอบระเบิดหลายรายการ รวม 6 คดี โดยทั้งหมดเหตุเกิดในพื้นที่เทศบาลเมืองปัตตานีใ นห้วงเดือน มิถุนายน-ธันวาคม 2559
ต่อมา เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2561 ศาลจังหวัดปัตตานี ได้มีคำสั่งพิพากษาลงโทษจำเลยทั้ง 10 คน ดังนี้ ประหารชีวิต 6 คน ประกอบด้วย นายอิบรอเฮง ยูโซ๊ะ นายอัมรีย์ ลือเย๊าะ นายสันติ จันทรกุล นายอายุบ เปาะลี นายอิสมาแอ ตุยง และนายนิรอนิง นิเดร์
จำคุกตลอดชีวิต 3 คน ประกอบด้วย นายมะซัน สาและ นายอับดุลเลาะ หะยีอูมาร์ และนายรูสรัน แวหะยี เนื่องจากจำเลยทั้ง 3 คน ให้การที่เป็นประโยชน์แก่การพิพากษาคดี ศาลจึงลดโทษจากประหารชีวิตเป็นจำคุกตลอดชีวิต และจำคุก 39 ปี 12 เดือน 1 คน คือ นายฮามิด เจะมะ
จากพฤติกรรมที่ปรากฏของจำเลยทั้ง 10 คน ที่ได้ร่วมกันก่อเหตุถึง 6 คดี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย ได้รับบาดเจ็บกว่า 20 ราย และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก โดยในห้วงที่ผ่านมา ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้ให้การช่วยเหลือเยียวยาแก่ครอบครัวของผู้สูญเสียดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับครอบครัว และญาติพี่น้องของผู้ที่กระทำความผิด ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยได้รับการดูแลจากกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังของการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงแต่อย่างใด โดยทำเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตนเท่านั้น
จึงขอให้ช่วยกันดูแลบุตรหลาน หรือบุคคลในครอบครัวอย่างใกล้ชิด สำหรับผลคำพิพากษาตัดสินคดีขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ซึ่งได้พิจารณาตามพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุ และพยานแวดล้อมที่ทำให้ศาลเชื่อว่าจำเลยทั้ง 10 คน ได้ร่วมกันกระทำความผิดจริง จึงมีคำสั่งพิพากษาลงโทษดังกล่าว อย่างไรก็ตาม จำเลยทั้ง 10 คน ยังมีสิทธิในการยื่นขออุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายได้กำหนดไว้