ปัตตานี - ศาลจังหวัดปัตตานี พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต จำเลยคดีลอบยิงทหาร-ประชาชนที่บ้านตาแบ๊ะ อ.มายอ เมื่อ 2 มี.ค.60 และจำคุกคนละ 4 ปี จำเลยคดีแขวนป้ายผ้าแบ่งแยกดินแดนที่ อ.ยะรัง เมื่อ 26 มี.ค.56 และเผยแพร่เอกสารแบ่งแยกดินแดนที่ปะนาเระ เมื่อ 10 มี.ค.60
วันนี้ (4 ม.ค.) พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28-29 ธันวาคม 2560 ศาลจังหวัดปัตตานี ได้มีคำสั่งพิพากษาผู้ต้องหาคดีความมั่นคง จำนวน 3 ราย ในคดีเกี่ยวกับอั้งยี่ ซ่องโจร ก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ต่างกรรมต่างวาระกัน ได้สร้างความสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐเป็นจำนวนมาก ดังนี้
คดีที่ 1 ศาลจังหวัดปัตตานี ได้อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ.2438/60 โดยพิพากษาจำคุก นายรูสลัน ตูหยง หมายเลขประชาชน 3-9505-xxxxx-xx-x จำนวน 4 ปี จากการตรวจพบ DNA ในเหตุการณ์แขวนป้ายผ้าแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เหตุเกิดเมื่อ 26 มีนาคม 2556
คดีที่ 2 ศาลจังหวัดปัตตานี ได้อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ.2088/60 โดยพิพากษาจำคุก นายอัครเดช สนิ หมายเลขประชาชน 1-9409-xxxxx-xx-x จำนวน 4 ปี ในคดีอั้งยี่ ซ่องโจร เนื่องจากตรวจพบ DNA ตรงกับเอกสารที่ยึดได้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการก่อการร้ายและแบ่งแยกดินแดน จากการเข้าจับกุมผู้ต้องหาภายในโรงเรียนวัฒนธรรมอิสลาม ตำบลพ่อมิ่ง อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี เมื่อ 10 มีนาคม 2560
คดีที่ 3 ศาลจังหวัดปัตตานี ได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.2644/60 โดยพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายซูฟียาน สนิ หมายเลขประชาชน 2-9405-xxxxx-xx-x ซึ่งเป็นคดีลอบยิง จากเหตุการณ์คนร้าย 7-8 คน พร้อมอาวุธปืนลอบยิงเจ้าหน้าที่ทหาร และราษฎร บริเวณหมู่ 3 ตลาดบ้านตาแบ๊ะ ตำบลลางา อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี เมื่อ 2 มีนาคม 2560 ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 3 นาย และมีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 1 ราย โดยเจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังเข้าติดตามจับกุมเมื่อ 31 มีนาคม 2560 พร้อมตรวจยึดอาวุธปืนพก 2 กระบอก และซิมการ์ดโทรศัพท์ในพื้นที่อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี จากการตรวจสอบพบว่า ซิมการ์ดโทรศัพท์เป็นของทหารที่ถูกยิงในตลาดนัดบ้านตาแบ๊ะ และจากการตรวจพิสูจน์อาวุธปืนพบว่า เคยใช้ก่อเหตุยิงราษฎรในพื้นที่ตำบลปาลัส อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี และก่อเหตุยิงทหารเสียชีวิต 3 ราย จึงพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต
จากการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย พบว่า มีหมายจับรวมกัน 6 หมาย และเคยก่อเหตุที่สร้างความสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับคำพิพากษาในครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในหลายคดี ในส่วนคดีอื่นๆ ที่เหลือศาลชั้นต้นได้ยกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ซึ่งพนักงานอัยการได้ยื่นขออุทธรณ์ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวอีกว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ยังคงให้ความสำคัญต่อการบังคับใช้กฎหมายด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนของการปฏิบัติภายใต้หลักสิทธิมนุษยชน เพื่อนำผู้ที่กระทำความผิดมาสู่กระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนของกฎหมาย
ทั้งนี้ ยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการยุติการใช้ความรุนแรงเข้ารายงานตัวแสดงตนตามโครงการพาคนกลับบ้าน เพื่อร่วมสร้างสันติสุขในพื้นที่อย่างยั่งยืน โดยเจ้าหน้าที่รัฐพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในการเข้าสู่กระบวนยุติธรรม โดยสามารถติดต่อผ่านศูนย์ปฏิบัติการอำเภอ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ หรือผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง