ตรัง - ชาวภาคใต้ยังคงให้ความนิยมบริโภค “ลูกเนียง” ทั้งเป็นผักเหนาะคู่กับน้ำพริก และแกงรสเผ็ดจัดจ้าน หรือผสมลงในแกงต่างๆ โดยเฉพาะแกงไตปลา จนบางช่วงมีราคาสูงถึง กก.ละ 60-70 บาท หรือ 3 ลูก 10 บาท
วันนี้ (16 ก.ย.) ชาวบ้านในพื้นที่ ต.บ้านโพธิ์ อ.เมือง จ.ตรัง จะใช้เวลาว่างหลังจากทำสวนยางพาราแล้วเสร็จ มาเก็บ “ลูกเนียง” ไม้พื้นบ้านชื่อดังของภาคใต้ ซึ่งมีผลเป็นฝัก โดยมีจุดเด่นของรสชาติคือ ฝาด มัน กรอบ และมีกลิ่นหอมฉุนแบบเฉพาะตัว ชาวใต้จึงนิยมนำผลมาใช้เป็นผักจิ้ม หรือผักเหนาะ คู่กับน้ำพริก หรือแกงรสเผ็ดจัดจ้าน เช่น แกงคั่ว แกงกะทิ แกงส้ม หรือขนมจีน เพราะช่วยให้กินข้าวได้เอร็ดอร่อยมากขึ้น แต่ในปัจจุบันเริ่มหายากกันมากขึ้น เพราะผู้คนมักจะโค่นทิ้ง เพื่อนำพื้นที่ไปปลูกพืชเศรษฐกิจแทน ทั้งๆ ที่ลูกเนียงในแต่ละปีจะสร้างรายได้ให้ต้นละประมาณ 4-5 พันบาท และยังเก็บเกี่ยวผลผลิตไปได้นานนับ 50 ปี
นางอำนวย อ่อนแท้ อายุ 66 ปี หรือป้านวย กล่าวว่า ปกติในช่วงกลางๆ ปีจะมีลูกเนียงออกมาจำหน่ายกันมาก ทำให้ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 15-20 บาท แต่หากเป็นนอกฤดูกาลจะมีราคาขยับขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 60-70 บาท หรือ 3 ลูก 10 บาท ตนจึงสนใจนำต้นพันธุ์มาปลูกในพื้นที่ว่างข้างบ้าน เพราะสามารถสร้างรายได้เสริมให้เป็นอย่างดี โดยมีทั้งผู้ที่มาสั่งซื้อถึงบ้าน หรือแม่ค้ามารับต่อไปขาย รวมทั้งเหมายกต้นไปใช้ในงานต่างๆ เพียงแต่ลูกค้ามักจะเป็นคนรุ่นเก่า หรือรุ่นกลางคนขึ้นไป ส่วนคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยรับประทานกัน โดยบอกว่า ลูกเนียงมีกลิ่นเหม็น หรือที่ภาษาใต้เรียกว่า กินแล้วหอมโฉ่ไปทั้งเมือง
นอกจากลูกเนียงสด ทั้งแบบอ่อน แบบแก่จะเป็นที่นิยมของชาวใต้แล้ว ยังมีการนำไปถนอมอาหารเพื่อเก็บไว้ได้นานหลายเดือน และเพิ่มมูลค่า โดยนำลูกเนียงแก่ไปเพาะในกองทราย หรือกองฟาง หรือที่ภาษาใต้เรียกว่า ลูกเนียงหมาน ด้วยการฝังลงไปในทราย หรือฟางลึก 5 เซนติเมตร แล้วรดน้ำเช้าเย็น 5 วัน หลังจากนั้น ลูกเนียงก็จะงอกใบอ่อน และรากอ่อนออกมา เมื่อเอาไปล้างน้ำก็จะรับประทานได้ทันที ทั้งเป็นผักเหนาะ หรือผสมลงในแกงต่างๆ โดยเฉพาะไตปลา ซึ่งวิธีการนี้จะยิ่งทำให้ลูกเนียงมันกรอบ และหอมฉุนมากขึ้น จึงมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 150 บาท ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ 08-2440-9881