คอลัมน์ : ดูรูปสวยแถมด้วยเกร็ดความรู้
โดย...สกนธ์ รัตนโกศล
--------------------------------------------------------------------------------
“แก้วมังกร” หรือ “Dragon fruit”
เป็นพืชในวงศ์กระบองเพชร (CACTACEAE) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hylocereus undatus (Haw.) เนื้อสีขาว เปลือกสีแดงอมชมพู หรือ H. polyrhizus (Weber) Britt. & Rose เนื้อสีแดงเข้มอมม่วง และเปลือกสีแดงอมชมพู
เป็นพืชที่มีถิ่นฐานพื้นเพดั้งเดิมอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเม็กซิโก และประเทศใกล้เคียง แต่เมื่อประมาณ 100 ปีมาแล้ว บาทหลวงชาวฝรั่งเศสได้นำเข้ามาในเอเชียที่ประเทศเวียดนามก่อน โดยปลูกตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันออกจากเมืองญาตรัง ไปจนถึงไซ่ง่อน
ส่วนในประเทศไทยเรามีการนำมาปลูกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540
สำหรับลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของแก้วมังกรนั้น มีลำต้นเป็นปล้องสามเหลี่ยมแยกเป็น 3 แฉก มีลักษณะอวบน้ำ สีเขียวเข้มปนเทา ซึ่งเป็นส่วนของใบที่เปลี่ยนรูปร่างไป ส่วนลำต้นที่แท้จริงอยู่ในตำแหน่งที่เป็นศูนย์กลางของแฉกทั้ง 3 ที่ลำต้น ด้านนอกมีหนามเป็นกลุ่มๆ มีรากทั้งในดิน และรากอากาศ
“ดอก” ของแก้วมังกรเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ มีเกสรเพศผู้จำนวนมาก มีก้านเกสรเพศเมีย 1 อัน ส่วนของกลีบดอกจะอยู่ด้านบนของรังไข่ เมื่อบานมีลักษณะคล้ายปากแตร โดยจะบานในช่วงหัวค่ำจนถึงเช้า มีกลิ่นหอมอ่อนๆ
“ผล” ของแก้วมังกรเป็นทรงกลม มีเนื้อหลายเมล็ด (berry) ที่ผลมีกลีบ ภายในผลเมื่อผ่าออกจะมีเนื้อสีขาวขุ่น ชมพู แดง หรือแดงอมม่วง ซึ่งแล้วแต่ชนิด เมล็ดมีขนาดเล็กสีดำ ลักษณะคล้ายเมล็ดงา
“แก้วมังกร” เป็นผลไม้ที่ให้ประโยชน์กับร่างกายมากมาย เพราะเนื้อผลมีวิตามินหลายชนิด และมีใยอาหารที่ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่ดีในการ “ลดระดับไขมันและน้ำตาลในเลือด” ด้วย
แต่ในการรับประทานอาจต้องระมัดระวังในคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ โรคไต และคนมีประวัติการแพ้พืชในตระกูลกระบองเพชร และกีวี เพราะอาจจะทำให้เกิดการแพ้ได้นะขอรับ
--------------------------------------------------------------------------------
บรรณานุกรม
- บรรณานุกรม : www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/366/แก้วมังกร/