ศูนย์ข่าวภูเก็ต - แสบจริง! ตร.ชุดสืบสวน สภ.ป่าตอง ตามรวบ 2 กะเทยที่ก่อเหตุทำทีมาตีสนิทนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาศัยจังหวะเผลอปลดสร้อยคอทองคำ ก่อนหลบหนี สุดท้ายไม่ทันข้ามคืนถูกจับดำเนินคดี
เมื่อเวลา 13.30 น. วันนี้ (11 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.ทัศนัย โอฬาริกเดช ผกก.สภ.ป่าตอง พ.ต.ท.สมศักดิ์ ทองเกลี้ยง รอง ผกก.สส.สภ.ป่าตอง นำโดย พ.ต.ต.กรพล เลี้ยงบุญจินดา สว.สส.สภ.ป่าตอง ร.ต.อ.อดุลย์ บุญราช รอง สว.สส.สภ.ป่าตอง และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ป่าตอง
ร่วมกันจับกุมตัว 2 สาวประเภทสอง ประกอบด้วย นายกิตติพันธ์ หรือเปิ้ล บำราชเข็น อายุ 32 ปี และนายชยารัตน์ หรือแคท มัตติโก อายุ 27 ปี พร้อมด้วยของกลาง สร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท โดยสามารถจับกุมได้ที่ซอยนาใน ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ตามหมายจับศาลจังหวัดภูเก็ต ที่ จ.326/2560 และ ที่ จ.327/2560 ลงวันที่ 11 มิ.ย.60 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม”
สำหรับการจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 00.15 น. วันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ป่าตอง ได้รับแจ้งจาก Dr.Deepak Kumar Sharar สัญชาติอินเดีย ว่า มีเหตุปลดทรัพย์สร้อยคอทองคำนักท่องเที่ยวที่บริเวณหน้าโรงแรม ถ.ราษฎร์อุทิศ 200 ปี ต.ป่าตอง โดยผู้เสียหายให้การว่า มีสาวประเภทสอง 2 คน ทำทีเข้ามาตีสนิท แล้วถือโอกาสปลดสร้อยคอทองคำที่สวมใส่ไป
โดยชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์สามารถจำหมายเลขรถจักรยานยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุได้ เฉพาะหมายเลข 746 สีขาว ไม่ทราบยี่ห้อ และจังหวัด หลังจากนั้น ทาง พ.ต.ท.สมศักดิ์ ทองเกลี้ยง รอง ผกก.สส.สภ.ป่าตอง จึงสั่งการให้ชุดสืบสวน สภ.ป่าตอง ลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุ และใกล้เคียงที่เกิดทันที เนื่องจากผู้เสียหายเดินทางมาประชุมวิชาการที่จังหวัดภูเก็ต และเกรงจะทำให้เสียชื่อเสียง จนกระทั่งสืบสวนทราบว่า ผู้ก่อเหตุเป็นใคร และพักที่ไหน จึงรวบรวมพยานหลักฐาน และขอศาลออกหมายจับ
ในเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และยอมรับว่าได้ร่วมก่อเหตุดังกล่าวจริง พร้อมนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.ป่าตอง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้ นักท่องเที่ยวได้กล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานได้อย่างรวดเร็ว และสามารถติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้ และไม่สามารถที่จะไปก่อเหตุกับใครได้อีก
เมื่อเวลา 13.30 น. วันนี้ (11 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.ทัศนัย โอฬาริกเดช ผกก.สภ.ป่าตอง พ.ต.ท.สมศักดิ์ ทองเกลี้ยง รอง ผกก.สส.สภ.ป่าตอง นำโดย พ.ต.ต.กรพล เลี้ยงบุญจินดา สว.สส.สภ.ป่าตอง ร.ต.อ.อดุลย์ บุญราช รอง สว.สส.สภ.ป่าตอง และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ป่าตอง
ร่วมกันจับกุมตัว 2 สาวประเภทสอง ประกอบด้วย นายกิตติพันธ์ หรือเปิ้ล บำราชเข็น อายุ 32 ปี และนายชยารัตน์ หรือแคท มัตติโก อายุ 27 ปี พร้อมด้วยของกลาง สร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท โดยสามารถจับกุมได้ที่ซอยนาใน ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ตามหมายจับศาลจังหวัดภูเก็ต ที่ จ.326/2560 และ ที่ จ.327/2560 ลงวันที่ 11 มิ.ย.60 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม”
สำหรับการจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 00.15 น. วันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ป่าตอง ได้รับแจ้งจาก Dr.Deepak Kumar Sharar สัญชาติอินเดีย ว่า มีเหตุปลดทรัพย์สร้อยคอทองคำนักท่องเที่ยวที่บริเวณหน้าโรงแรม ถ.ราษฎร์อุทิศ 200 ปี ต.ป่าตอง โดยผู้เสียหายให้การว่า มีสาวประเภทสอง 2 คน ทำทีเข้ามาตีสนิท แล้วถือโอกาสปลดสร้อยคอทองคำที่สวมใส่ไป
โดยชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์สามารถจำหมายเลขรถจักรยานยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุได้ เฉพาะหมายเลข 746 สีขาว ไม่ทราบยี่ห้อ และจังหวัด หลังจากนั้น ทาง พ.ต.ท.สมศักดิ์ ทองเกลี้ยง รอง ผกก.สส.สภ.ป่าตอง จึงสั่งการให้ชุดสืบสวน สภ.ป่าตอง ลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุ และใกล้เคียงที่เกิดทันที เนื่องจากผู้เสียหายเดินทางมาประชุมวิชาการที่จังหวัดภูเก็ต และเกรงจะทำให้เสียชื่อเสียง จนกระทั่งสืบสวนทราบว่า ผู้ก่อเหตุเป็นใคร และพักที่ไหน จึงรวบรวมพยานหลักฐาน และขอศาลออกหมายจับ
ในเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และยอมรับว่าได้ร่วมก่อเหตุดังกล่าวจริง พร้อมนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.ป่าตอง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้ นักท่องเที่ยวได้กล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานได้อย่างรวดเร็ว และสามารถติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้ และไม่สามารถที่จะไปก่อเหตุกับใครได้อีก