ตรัง - ครูเกษียณตรังร่ำไห้ เล่าประสบการณ์เคยทำงานถวายใกล้ชิดในหลวง ครั้งรับราชการที่ จ.นราธิวาส นับเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต ไม่อยากให้พระองค์สิ้นพระชนม์ อยากให้อยู่กับประชาชนตลอดไป และอยากบอกถึงคนไทยให้รักสามัคคีกัน เพื่อถวายแด่พระองค์ท่าน
วันนี้ (19 ต.ค.) นางนิตดา ไชยเสรี ข้าราชการบำนาญ วัย 66 ปี อยู่บ้านเลขที่ 26/1 ถ.จริงจิตร อ.เมือง จ.ตรัง เล่ารำพึงน้ำตาไหลตลอดเวลา หวนรำลึกถึงคราวสมัยรับราชการครูอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคจังหวัดนราธิวาส เมื่อปี พ.ศ.2523 ซึ่งบรรจุรับราชการครั้งแรกในตำแหน่งผ้าและเครื่องแต่งกาย และได้ทำงานเรื่อยมาจนเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าคณะ ทำให้ตนต้องมีความรู้เรื่องการบ้านการเรือนทุกอย่าง และมีโอกาสได้ทำงานถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ร่วมถึงพระบรมวงศานุวงศ์แทบทุกพระองค์
นางนิตดา กล่าวด้วยความเศร้าโศกว่า ทุกปีตนพร้อมเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ต่างเฝ้ารอว่าเมื่อใดจะถึงเดือนสิงหาคม เพราะหมายถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะทรงเสด็จไป จ.นราธิวาส เสมอ โดยตนจะมีหน้าที่นำพานดอกไม้ พวงมาลัยไปรอรับเสด็จ หลายต่อหลายครั้งที่ได้มีโอกาสทำงานถวายแบบใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน ที่ศูนย์ศิลปาชีพในพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ และทราบดีว่า ท่านทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายเพียงใด แต่ทุกคนก็ไม่เคยได้ยินเสียงบ่นใดๆ แม้แต่น้อย มีเพียงสีหน้าที่เรียบเฉย และสายตาที่มุ่งมั่น อยากให้งานสำเร็จเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของประชาชนเท่านั้น
สมัยปี 2523 หรือเมื่อ 36 ปี ที่แล้ว จ.นราธิวาส นับว่ายังคงมีความลำบากในหลายพื้นที่ ประชาชนไม่มีอาชีพ ตนมีโอกาสถวายงานแก่พระองค์ท่านถึง 16 ปี และเป็นประจำที่ได้ร่วมห้องรับประทานอาหาร ซึ่งพระองค์ประทับร่วมกันกับเจ้าหน้าที่แบบไม่ถือพระองค์แม้แต่น้อย ทำให้ตนรู้สึกรัก ประทับใจ และภูมิใจมากที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย ถือว่าตนมีบุญวาสนาเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสถวายงานแก่พระองค์ท่าน ตนทำงานแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะพระองค์คือขวัญ และกำลังใจที่เปี่ยมล้นด้วยความเมตตา กรุณาต่อทุกคน
“เชื่อไหมดอกไม้ หรือสิ่งของทุกอย่างที่ชาวบ้านนำมาให้แก่ศูนย์ศิลปาชีพฯ ไม่เคยทิ้งแม้แต่อย่างเดียว จะนำไปใช้ประโยชน์ทุกอย่าง พระองค์ตรัสว่า ของใดก็ตามที่ชาวบ้านเอามาให้คือสิ่งที่มีค่า เขาจัดมาด้วยใจ อย่านำไปทิ้ง เพราะหากชาวบ้านรู้จะทำให้เสียใจ พระองค์ทรงห่วงใยความรู้สึกของทุกคน หลังจากนั้นไม่นาน ตนก็จำเป็นต้องย้ายกลับภูมิลำเนาที่ จ.ตรัง ซึ่งก็ไม่เคยได้พบกับพระองค์อีกเลย ที่ จ.ตรัง ท่านเสด็จมาน้อยมาก เพราะตรังเป็นจังหวัดที่สะดวกสบายมากกว่าอีกหลายจังหวัดในประเทศไทย” นางนิตตา กล่าว
นางนิตดา ยังกล่าวอีกว่า รู้สึกเสียใจเป็นที่สุดเมื่อทราบข่าวพระองค์สิ้นพระชนม์ รู้สึกรับไม่ได้ต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น ช่วงแรกไม่อยากออกไปนอกบ้าน ไม่อยากเห็นภาพที่แผ่นดินไทยไม่มีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และในทุกเช้าตนจะทำบุญตักบาตรเพื่อถวายกุศลให้พระองค์ แล้วกลับเข้าบ้านอยู่แต่ภายในบ้านไม่ออกไปไหน ติดตามข่าวพิธี พระราชกรณียกิจทางทีวีตลอดเวลา และคิดว่าในโลกนี้ไม่มีใครอีกแล้วที่เหมือนพระองค์ท่าน
สิ่งที่อยากจะบอกคนไทยทุกคนคือ ขอให้ทุกคนรักสามัคคีกัน อย่าทะเลาะกัน เพราะนี่คือสิ่งที่พระองค์ท่านปรารถนา ขอให้คนไทยรักกัน ไม่แบ่งสี ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก และตนเองก็อยากขอสิ่งนี้เอาไว้ เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช