ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ศพน้องพีพี บานปลายยังเผาไม่ได้ ทั้งญาติฝ่ายแม่ และฝ่ายพ่อมาคัดค้านต้องการรับศพกลับไปฝังตามหลักศาสนาอิสลาม สุดท้ายต้องเก็บศพเอาไว้ก่อนเพื่อหาข้อยุติกันอีกครั้ง
วันนี้ (28 ก.ค.) ความคืบหน้ากรณี ด.ช.เดชา เสมสัน หรือน้องพีพี อายุ 1 ขวบ 5 เดือน ที่ถูกพ่อเลี้ยงทำร้ายจนเสียชีวิตจากความเมาเมื่อวันที่ 24 ก.ค.2559 และตั้งศพบำเพ็ญกุศลวัดศรีสว่างวงศ์ หรือวัดเกาะเสือ ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งตามกำหนดจะมีพิธีฌาปนกิจในช่วงบ่ายของวันนี้
แต่ปรากฏว่า เหตุการณ์ยังบานปลายไม่สามารถเผาศพน้องพีพี ได้ เนื่องจากได้มีญาติของ น.ส.รอกีเยาะ ดือราแม อายุ 24 ปี แม่ของน้องพีพี ประกอบด้วย นางฮอตีพ๊ะ มะลี อยุ 53 ปี ซึ่งเป็นแม่พร้อมกับพี่ชาย และญาติเดินทางมาจาก จ.นราธิวาส พร้อมกับตัวแทนของคณะกรรมการอิสลามประจำ จ.สงขลา เพื่อคัดค้านไม่ให้เผาศพน้องพีพี เนื่องจากนับถือศาสนาอิสลาม และต้องการที่จะรับศพกลับไปฝังตามหลักการของศาสนาอิสลาม
และเมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันก็ไม่สามารถตกลงกันได้ ต่างฝ่ายต่างอ้างความชอบธรรมในตัวของน้องพีพี และมีการโต้เถียง และโห่ร้องกันเป็นระยะ โดยฝ่ายแม่แท้ๆ กับชาวบ้านที่ช่วยดูแลน้องพีพี ยืนกรานที่จะเผา เพราะแม่ยอมให้เผา และอ้างสิทธิการเลี้ยงดูน้องพีพี มาตั้งแต่เด็กๆ ในขณะอีกฝ่ายก็ยืนกรานตามหลักการศาสนาอิสลามว่าไม่สามารถเผาได้ต้องฝัง เพราะทั้งพ่อและแม่นับถือศาสนาอิสลาม รวมทั้งชื่อในทะเบียนบ้านก็ระบุนับถือศาสนาอิสลามอย่างชัดเจน ที่สำคัญยังไม่ได้รับความยินยอมจากพ่อแท้ๆ ของน้องพีพี ซึ่งต้องคดี และถูกส่งไปอยู่ที่ศูนย์บำบัดรักษายาเสพติด จ.สงขลา
สุดท้าย พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร ผู้กำกับการ สภ.หาดใหญ่ ได้เชิญทั้งสองฝ่ายไปเจรจากันที่ สภ.หาดใหญ่ เพื่อหาข้อยุติ แต่ก็ยังมีการโต้เถียงกันไปมาไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ทางเจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจยุติปัญหาโดยระงับการเผาน้องพีพี ออกไปก่อน และให้ทั้งสองฝ่ายสงบสติอารมณ์และนัดมาเจรจาหาทางออกกันอีกครั้ง ทั้งในทางกฎหมาย และเรื่องของหลักการทางศาสนาอิสลาม สถานการณ์จึงคลี่คลาย และต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไป
นายสุลกิบลี ดือราแม อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นพี่ชายของ น.ส.รอกีเยาะ แม่ของน้องพีพี บอกว่า ทางญาติไม่ได้ทอดทิ้งตามที่อีกฝ่ายอ้าง และทราบเรื่องการเสียชีวิตของน้องพีพี แล้ว แต่โทรศัพท์สอบถามแม่ของน้องพีพี กลับบอกว่าได้นำศพของน้องพีพี ไปฝังเรียบร้อยแล้วที่ อ.สะเดา ซึ่งญาติผู้ใหญ่ฝ่ายพ่อเป็นคนจัดการให้ และได้ขอเงินมา 2,000 บาท เพื่อดำเนินการเรื่องศพ แต่มาทราบอีกทีตอนที่มีการแชร์เรื่องราวของน้องพีพี ผ่านสังคมออนไลน์ ว่า ถูกนำมาไว้ที่วัด และไม่มีแม้ค่าทำศพ ญาติทุกคนถึงกับงง และรีบเดินทางมาคัดค้าน เพราะต้องการนำศพกลับไปฝังตามหลักศาสนาอิสลาม เพราะน้องพีพี นับถือศาสนาอิสลามมาตั้งแต่เกิด เพียงแต่มาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันเท่านั้น ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงศาสนาได้ ซึ่งหลังจากนี้จะให้พ่อแท้ๆ ของน้องพีพี ซึ่งต้องคดีอยู่ทำเรื่องคัดค้านการเผาผ่านทางคณะกรรมการอิสลามอีกทางหนึ่ง รวมทั้งหารือในทางข้อกฎหมายด้วยหากยังไม่ได้ข้อยุติ และยืนยันที่จะนำศพกับไปฝัง
ด้าน นายอับดุลชูโกด ไหนเด รองประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจ.สงขลา ระบุว่า ในหลักการทางศาสนา น้องพีพี ต้องนำกลับไปฝังเท่านั้น แม้ว่าแม่จะยอมให้เผาแต่ก็มาจากแรงกดดันจากหลายฝ่าย ที่สำคัญต้องถามความเห็นของพ่อแท้ๆ ด้วย ซึ่งเท่าที่ทราบก็ไม่ยอมให้เผาเช่นกัน ซึ่งหลังจากนี้ จะเร่งรวบรวมข้อมูล และเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมายืนยันสิทธิในตัวของน้องพีพี เพื่อที่จะนำกลับไปฝังตามหลักศาสนาอิสลาม
ในขณะที่ น.ส.รอกีเยาะ แม่ของน้องพีพี ยังอยู่ในอาการที่ร่ำไห้ตลอดเวลายังไม่สามารถพูดอะไรได้ แต่ยังยืนกรานว่า ต้องการเผา ส่วน นางจำนง ดำขุนนุ้ย ซึ่งเคยเลี้ยงดูน้องพีพี บอกว่า ต้องการเผาศพน้องพีพีตามแบบศาสนาพุทธเนื่องจากช่วยกันเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก และแม่ก็ยอมให้เผา ที่สำคัญญาติอีกฝ่ายไม่เคยมาดูแล พอน้องพีพี เสียชีวิตลงก็จะมารับศพไปฝังตนก็ไม่ยอมเช่นกัน
ส่วนบรรยากาศที่วัดได้มีการเคลื่อนย้ายศพของน้องพีพี ออกจากศาลาขึ้นไปไว้บนเมรุเพื่อเตรียมเผา แต่ตำรวจได้ประสานไปยังพระเพื่อให้ยุติการเผาเอาไว้ก่อน เนื่องจากยังมีการคัดค้าน และให้เก็บศพเอาไว้ที่วัดก่อนจนกว่าจะได้ข้อสรุปของทั้งสองฝ่าย