สตูล - แม่วัย 20 ปี โร่วิ่งร้องสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสตูล ขอความเป็นธรรม อ้างโรงพยาบาลมะนัง จ.สตูล ไม่ยอมทำคลอด ทำให้เด็กที่อยู่ในท้องเสียชีวิต
วานนี้ (26 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.นภัสสร เพอรัตน์ อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 176/1 หมู่ที่ 10 ต.ปามล์พัฒนา อ.มะนัง จ.สตูล พร้อมด้วยญาติพี่น้องนำเอกสารแจ้งขอความเป็นธรรมจากกรณีบุตรเสียชีวิตจากการคลอด ยื่นต่อนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด โดย นายวิมาน ปันดีกา นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสตูล รับแทน ที่ห้องประชุมสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสตูล ต.พิมาน อ.เมือง จ.สตูล อ้างถึงโรงพยาบาลมะนัง ไม่ดูแลอย่างทั่วถึง เป็นเหตุทำให้ลูกที่อยู่ในท้องเสียชีวิต โดยมายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมในครั้งนี้
น.ส.นภัสสร เพอรัตน์ กล่าวว่า จากเหตุกรณีเมื่อวันที่ 12 ก.ค.2559 ตนได้มีอาการปวดท้องจากการตั้งครรภ์ และครบกำหนดเวลาคลอด และได้ฝากครรภ์ไว้ที่คลินิกละงู และโรงพยาบาลมะนัง แต่เนื่องจากโรงพยาบาลมะนัง อยู่ใกล้กับบ้านจึงเดินทางเข้ารับการดูแลในการคลอดที่โรงพยาบาลมะนัง เพราะมีความสะดวก และน่าจะปลอดภัยต่อการคลอดบุตร โดยตนเองได้ไปโรงพยาบาลมะนัง ในเวลาตี 3 ของคืนวันที่ 12 ก.ค. ซึ่งมีอาการปวดท้องจากการเจ็บครรภ์เริ่มมีอาการในตอนเช้าของวันที่ 12 มาแล้วในตอนกลางวัน จากการตรวจวินิจฉัยของพยาบาลในขณะนั้นพบว่า ปากมดลูกยังไม่เปิด จึงให้ข้าพเจ้านอนรออยู่ในห้องคลอดโดยไม่ได้รับการดูแลในการตรวจเบื้องต้น มีแต่พยาบาลทำหน้าที่แทนแพทย์เวรที่ทำหน้าที่อยู่
จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันที่ 13 ก.ค.2559 เวลาประมาณ 6 โมงเช้า พยาบาลได้เข้ามาตรวจพบว่าปากมดลูกเปิดขึ้นประมาณ 2 ซม. และทางพยาบาลแจ้งมาอีกว่า ปากมดลูกยังหนาอยู่อีก แต่ตนก็มีอาการเจ็บท้องอยู่ และเจ็บทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และต่อมา ก็ยังไม่ได้พบกับแพทย์เวร หรือแพทย์ผู้ชำนาญการในด้านการรักษาการทำคลอดเลย มีแต่พยาบาลที่คอยแจ้งอาการ
ตนปวดท้องตลอดเวลา และมีอาการอาเจียนในตอนเที่ยง พยาบาลได้เอาปัสสาวะ และเลือดไปตรวจและมาแจ้งว่า กระเพาะปัสสาวะติดเชื้อสูงมาก และฉีดยาให้ 1 เข็ม จนกระทั่งกลางคืนวันที่ 13 ก็ยังไม่ได้รับการตรวจจากแพทย์เวรเลย จนถึงเวลาประมาณตี 2 ก็เกิดวดท้องอย่างมากและพบว่ามีน้ำคร่ำไหลออกมามาก จึงรีบบอกพยาบาลแต่พยาบาลบอกว่ายังไม่คลอดเพราะปากมดลูกยังเปิดแค่ 2 เซนต์
ในคืนนั้นตนก็ยังไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้อง และทันท่วงที ด้วยความทรมานทั้งร่างกาย และจิตใจเพราะไม่ได้รับคำแนะนำ ตลอดจนการช่วยเหลือ เพราะไม่พบแพทย์เลยตั้งแต่วันที่ 12 มาแล้ว และเมื่อวันที่ 14 ก.ค.2559 แม่ของตนรับรู้อาการมาตลอด และเห็นว่าไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลเลย จึงได้ไปแจ้งแพทย์ที่ชื่อ ชนิดา เพ็ชรศรี ด้วยตนเองขอให้ส่งตัวไปยังโรงพยาบาลที่มีแพทย์คอยดูแลมากกว่านี้โดยด่วน แต่ได้รับการนิ่งเฉยจากแพทย์ชนิดา เพ็ชรศรี
น.ส.นภัสสร เพอรัตน์ กล่าวอีกว่า พยาบาลบอกว่ามดลูกยังไม่เปิด แต่ตนพบว่าอาการดิ้นของบุตรลดน้อยลง ซึ่งตนรู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมากว่าอาจจะมีผลอย่างใดอย่างหนึ่งกระทบต่อการคลอดลูก จึงไปร้องขอการส่งตัวอีกครั้งกับพยาบาลที่พอจะช่วยเหลือได้ คือ พยาบาลหน้าห้องตรวจ แต่พยาบาลบอกว่าไม่สามารถช่วยได้เพราะอยู่คนละแผนกกัน ขณะที่อาการปวด และการดิ้นของบุตรเริ่มลดลง จึงได้บอกแม่ว่าอยากกลับบ้านแต่พยาบาลบอกว่าน้ำคร่ำออกมามากแล้ว แต่กลับไม่ได้เมื่อเวลา 18.30 น.
ด้วยความตกใจ และไม่ทราบว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร แม่ของตนจึงได้เดินทางไปขอคำแนะนำจากแพทย์ที่โรงพยาบาลละงู ซึ่งแพทย์บอกว่า ให้โรงพยาบาลมะนัง ส่งตัวมาที่โรงพยาบาลละงู แม่ของตนจึงเดินทางกลับมาแจ้งที่โรงพยาบาลมะนัง พยาบาลบอกว่า วันที่ 15 ก.ค.2559 จึงจะส่งตัว ตนจึงต้องนอนรออยู่อีกทั้งที่อาการดิ้นของบุตรลดน้อยลงอย่างมาก จนต่อมาในเวลาประมาณเวลาตี 2.15 น.ของคืนวันที่ 15 ก.ค.2559 นั้น ตนมีอาการหนาวสั่นเป็นไข้ความดันโลหิตจากการวัด 180 จึงทำให้พยาบาล และแพทย์ได้เข้ามาตรวจให้ตนพร้อมนำเครื่องออกซิเจนมาให้ แต่เมื่อใช้ไปได้ไม่นานออกซิเจนหมดแต่ก็ไม่มีพยาบาลนำมาเปลี่ยนให้หายเงียบไปจนกระทั่งรุ่งเช้าของวันที่ 15 ก.ค.2559
จากนั้นแม่ของตนจึงได้นำข้าพเจ้าออกจากโรงพยาบาลมะนัง ไปโรงพยาบาลละงูด้วยตนเอง โดยใช้พาหนะรถส่วนตัวของแม่ข้าพเจ้า เมื่อถึงโรงพยาบาลละงู แพทย์เวรเตือน และบอกว่าต้องเข้าห้องผ่าตัดในเวลา 10.00 น. ตนได้รับการผ่าตัดการคลอด และแพทย์แจ้งว่าเด็กสำลักน้ำคร่ำ และหัวใจเต้นน้อยทำการผ่าตัดไปประมาณ 30 นาที ต่อมา บุตรข้าพเจ้าได้สิ้นลมหายใจ ดังนั้น ตนเองจึงมาขอความเป็นธรรมเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือด้วย เพราะไม่อยากให้เกิดกับใครอีก
นายภาณุ เพ็ชรประดับ ผู้เป็นคนให้คำปรึกษากับแม่เด็กเสียชีวิต กล่าวว่า ญาติพี่น้องเสียใจต่อการจากไปของลูก และมาปรึกษาในฐานะตนเองพอรู้กฎหมายก็ควรที่จะเดินทางมาร้องขอความเป็นธรรม เพราะอย่างไรหากผิดตั้งแต่การไม่เอาใจใส่ดูแลของโรงพยาบาลจริงหรือไม่ ทางสาธารณสุขสามารถตรวจสอบได้เพราะคงไม่เข้าข้างกันเองแน่ ชีวิตที่สูญเสียไปในครั้งนี้จะได้เป็นอุทาหรณ์ว่าอย่าไว้ใจใครทั้งสิ้น
นายวิมาน ปันดีกา นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ กล่าวว่า ตนเองรับทราบเรื่องแล้วจะนำเรียนต่อนายแพทย์สาธารณสุข เพื่อรับทราบและตรวจสอบต่อไป พร้อมจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบหรือไม่ต้องมีประชุมก่อน