ปัตตานี - กรมราชทัณฑ์ระบุสาเหตุการก่อเหตุจลาจลมาจากความไม่พอใจของผู้ต้องขัง จำนวน 2 ราย ที่เข้มงวดตรวจค้นโทรศัพท์มือถือ และยาเสพติด ด้าน กสม.เดินทางลงพื้นที่หลังญาติผู้ต้องขังรู้สึกเป็นห่วงต่อพี่น้องที่อยู่ข้างในว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเรือนจำเช่นกัน
วันนี้ (16 ก.ค.) นายปฎิคม วงศ์สุวรรณ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และคณะได้เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมกับเรียกเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องประชุมเพื่อรับทราบสถานการณ์ กรณีนักโทษก่อเหตุจลาจลภายในเรือนจำกลางปัตตานี พร้อมกับได้ชี้แจงข้อเท็จจริงว่ามีสาเหตุเกิดจากการเข้มงวดกวดขันในการตรวจค้นโทรศัพท์มือถือ และยาเสพติดในเรือนจำ รวมถึงการจัดระเบียบเรือนจำเพื่อให้เกิดความเรียบร้อย และง่ายต่อการตรวจค้น จนเป็นเหตุให้ผู้ต้องขัง จำนวน 2 ราย ไม่พอใจ
ผู้บัญชาการเรือนจำกลางปัตตานี จึงได้ขออนุญาตย้ายผู้ต้องขังดังกล่าวเป็นการเร่งด่วน ซึ่งทำให้ผู้ต้องขังทั้ง 2 ราย ที่เป็นแกนนำในการก่อการจลาจลไม่พอใจ จึงได้รวบรวมผู้ต้องขังคนอื่นๆ จำนวน 200 คน ร่วมกันก่อจลาจลในเวลา 16.02 น. และเหตุการณ์ได้ลุกลามจนกระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐได้สนธิกำลังเข้าควบคุมพื้นที่ได้ในที่สุด
กรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดเพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด โดยได้จัดตั้งหน่วยบัญชาการทั้งในส่วนกลางกรมราชทัณฑ์ เพื่อรับรายงานประเมินสถานการณ์ และสั่งการแก้ไขปัญหาไปยังหน่วยบัญชาการในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังได้ประสานหน่วยงานอื่นๆ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด ทหาร ตำรวจ และพนักงานดับเพลิง รวมถึงเรือนจำกลางประธานเขต เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
จากนั้นได้ทำการเจรจาต่อรองกับผู้ก่อการจลาจล ซึ่งขณะนั้นได้ก่อความรุนแรงโดยการเผาที่ทำการฝ่ายควบคุม ทำร้ายเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และผู้ต้องขังคนอื่นๆ รวมทั้งได้ยื่นข้อเสนอ จำนวน 11 ข้อ โดยผู้บัญชาการเหตุการณ์ยังไม่อนุญาตให้มีการใช้กำลัง แต่ให้แยกผู้ต้องขังที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกมาจากกลุ่มผู้ก่อเหตุ เมื่อการเจรจาไม่ประสบผลจนกระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 21.20 น. ผู้ก่อเหตุได้ร่วมกันเผาประตูเรือนจำ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแตกหัก หลบหนีออกนอกเรือนจำ จึงได้มีการมอบพื้นที่ให้แก่ทหาร และตำรวจดำเนินการ ใช้กำลังในการควบคุมสถานการณ์ได้ในเวลา 23.00 น.
เนื่องจากผู้ต้องขังกลุ่มที่ก่อการจลาจลไม่ยอมรับข้อเสนอต่างๆ แม้ว่าเรือนจำจะยอมทำตามข้อเรียกร้องของผู้ก่อเหตุแล้วก็ตาม หากแต่ยังคงกระทำความรุนแรงโดยการเผาสถานที่ราชการเพิ่ม จนเป็นเหตุให้ต้องมีการใช้กำลังในการควบคุมสถานการณ์ ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานของกฎระเบียบข้อบังคับที่กำหนดไว้ และยังได้คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นน้อยที่สุดต่อผู้ต้องขังส่วนใหญ่ และประโยชน์ของทางราชการ
ทางเรือนจำกลางปัตตานี ได้ทำการย้ายกลุ่มผู้ต้องขังที่ก่อการจลาจล จำนวน 330 คน ไปยังเรือนจำสงขลา เรือนจำนาทวี โดยจะมีการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารสำหรับญาติผู้ต้องขัง ซึ่งหากต้องการรับทราบข้อมูลสอบถามได้ที่เรือนจำกลางปัตตานี 0-7341-4254 หรือศูนย์ดำรงธรรมในพื้นที่
สำหรับความเสียหาย มีเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ บาดเจ็บ 3 นาย ผู้ต้องขังบาดเจ็บ จำนวน 7 ราย นอนพักรักษาตัวที่ รพ.ปัตตานี 1 ราย ผู้ต้องขังเสียชีวิต 3 ราย ทรัพย์สินราชการเป็นอาคารที่ทำการฝ่ายควบคุม อาคารอเนกประสงค์ อาคารฝ่ายการศึกษา รวมจำนวน 3 หลัง ซึ่งอยู่ระหว่างการประเมินความเสียหาย
ขณะเดียวกัน นางอังคณา นีละไพจิต กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เดินทางมาที่เรือนจำกลางปัตตานี หลังจากที่ได้รับการร้องเรียนจากญาติผู้ต้องขังว่า รู้สึกเป็นห่วงต่อพี่น้องที่อยู่ข้างในว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง มีความปลอดภัยกันหรือไม่ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้ข้อมูลที่ชัดเจน ตนจึงจำเป็นต้องลงพื้นที่มาดูด้วยตนเอง แต่เมื่อมาถึงกลับได้รับคำชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าเยี่ยมอ้างว่า ช่วงนี้เป็นวันหยุดให้มาวันราชการ ตนรู้สึกผิดหวังต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ตนมีเจตนาดีว่าจะมารับทราบข้อมูล ปัญหาที่เกิดขึ้น และเข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ แต่ในส่วนของญาติพี่น้องเจ้าหน้าที่ต้องเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาเหมือนกันที่เป็นห่วง และได้มานั่งรอฟังข่าวกันแต่เช้า จึงขอให้เจ้าหน้าที่ได้มีการเปิดเผยข้อมูล รายชื่อของผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต หรือที่ต้องถูกย้ายไปอยู่ที่อื่นให้ทางญาติได้รับทราบที่ชัดเจน พวกเขาจะได้สบายใจกัน