ปัตตานี - ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ วอนทุกฝ่ายหยุดนำเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะมาเป็นข้อต่อรองในการแสวงหาผลประโยชน์ หรือนำมาเป็นเหตุผลข้ออ้างมาฉวยโอกาสในการเคลื่อนไหวในทุกรูปแบบ
วันนี้ (28 เม.ย.) ย้อนรอยเมื่อวันที่ 28 เม.ย.47 ได้เกิดเหตุกลุ่มก่อความไม่สงบกว่า 30 คน ได้ใช้มัสยิดกรือเซะ ซึ่งตั่งอยู่บริเวณริมถนนสายปัตตานี-นราธิวาส บ.ตันหยงลูโล๊ะ อ.เมือง จ.ปัตตานี เป็นที่หลบซ่อนตัวหลังก่อใช้อาวุธสงครามกราดยิงฐานปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งอยู่ห่างจากมัสยิดกรือเซะ 200 เมตร เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต และบาดเจ็บ ก่อนจะล่าถอยเข้าไปหลบในมัสยิดกรือเซะ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องปิดล้อมมัสยิด และเกิดการปะทะจนมีผู้เสียชีวิต 32 ราย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นปฐมฤกษ์ของเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และส่งผลยาวนานล่วงเข้าสู่ปีที่ 12 ของเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะที่จะถึงในวันที่ 28 เม.ย.59
ถึงแม้เหตุการณ์ดังกล่าวจะล่วงเลยเข้าสู่ปีที่ 12 แล้ว แต่ความรู้สึกของญาติผู้เสียชีวิตยังคงไม่ลืมในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดย นางคอลีเยาะ หะลี หนึ่งในญาติของผู้เสียชีวิตที่ต้องสูญเสียผู้เป็นบิดาจากเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมด้วยญาติของผู้เสียชีวิตส่วนหนึ่ง ได้เดินทางมายังมัสยิดกรือเซะ และร่วมกันละหมาดฮายัดเพื่อขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้า ทรงประทานความสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และไม่อยากให้เหตุการณ์เช่นเดียวกับที่มัสยิดกรือเซะเกิดขึ้นอีก เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความสูญเสียให้แก่ทั้ง 2 ฝ่าย และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมือง
นอกจากนี้ นางคอลีเยาะ ได้วิงวอนทุกฝ่ายหยุดนำเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะมาเป็นข้อต่อรองในการแสวงหาผลประโยชน์ หรือนำมาเป็นเหตุผลข้ออ้างมาฉวยโอกาสในการเคลื่อนไหวในทุกรูปแบบ เพราะทุกวันนี้ ทางญาติของผู้เสียชีวิตต้องการที่จะลืมเหตุการณ์ดังกล่าว และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ แต่กลับถูกผู้ไม่หวังดีนำเหตุการณ์ดังกล่าวมารื้อฟื้น และนำมากล่าวโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อหวังผลประโยชน์แอบแฝง ซึ่งเป็นการสะกิดแผลในใจของญาติของผู้เสียชีวิตที่ต้องการจะให้เหตุการณ์ดังกล่าวจบลง
ด้าน นางคอลีเยาะ หะลี กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่เจ็บปวดมาก ถ้าย้อนอดีตกลับไปได้ ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเลย แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วสิ่งที่เราต้องทำก็คือ ทำใจยอมรับต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนอยากให้เหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 เม.ย.47 เป็นบทเรียนให้แก่หลายฝ่าย หลายหน่วยงาน หาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก และที่สำคัญที่สุด ตนไม่อยากให้มีการสร้างสถานการณ์ในพื้นที่อีกต่อไป เพราะสำหรับผู้ที่ต้องสูญเสียถือเป็นบาดแผลที่สาหัสมาก ไม่ใช่เฉพาะตนอย่างเดียว แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่เองก็เจ็บปวด และสูญเสียเหมือนกัน ดังนั้น ความสูญเสียตรงนี้แน่นอนครอบครัวทั้ง 2 ฝ่ายก็เสียใจพอๆ กัน เช่นนั้นแล้วต้องหาทางร่วมกันในการแก้ปัญหา
แต่ในห้วงที่ผ่านมา ถ้าทุกฝ่ายยังคงปะทะคารม และมีการเขียนป้ายตามท้องถนนอะไรต่างๆ ซึ่งลักษณะอย่างนี้ตนคิดว่าไม่สามารถสร้างความสงบสุขได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ต้องการสร้างสันติสุขจริง ทุกคนก็ต้องยุติความเคลื่อนไหวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการก่อเหตุ และหันหน้ามาคุยกันไม่สำเร็จวันนี้ พรุ่งนี้ก็อาจจะสำเร็จได้ เพียงแค่หันหน้ามาคุยกัน แต่การที่ไปเขียนป้าย และพาดพิงผู้เสียชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง และทุกวันนี้จากเดิมแผลเราหายแล้ว แต่ที่ผ่านมา ก็มีการเขียนป้ายประณาม เขียนป้ายต่อต้านโจมตีคนนั้นคนนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของพวกตนเป็นอย่างมาก เพราะสังคมจากที่เคยลืมเหตุการณ์กรือเซะแล้ว ต้องมานึกถึงอีกรอบ ทำให้เราต้องอยู่ในสังคมนี้ยากมาก เนื่องจากแผลที่หายแล้วก็ถูกสะกิดขึ้นมาใหม่อีก ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝีมือใครก็ตามที่จะกำลังทำอยู่ ที่มาพาดพิงผู้เสียชีวิตเราไม่สามารถยอมรับได้
ตนขอวิงวอนว่า อย่าทำอะไรแบบนี้เลยมันเป็นสิ่งไม่ดี ยิ่งไปรบกวนผู้ตายมากเท่าไหร่ ผู้ตายก็จะไม่มีความสุข และครอบครัวที่เหลืออยู่ก็ไม่มีความสุข ครอบครัวที่เหลืออยู่ก็จะถูกประณาม ซึ่งที่ผ่านมา ก็ทำใจได้แล้ว แต่กลับนำเอาเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ มาแสวงหาผลประโยชน์ แสวงหากำไรในการที่จะเคลื่อนไหวอะไรต่างๆ ขอความเป็นธรรมให้ต่อพวกตนด้วย ถ้าคิดจะทำอะไรก็ทำในรูปแบบอื่นดีกว่า อย่ามาทำอะไรแบบนี้เลย ไม่สมควรที่จะมาพาดพิงกรณีของพวกตนเลย พวกตนอยู่สบายดีอยู่แล้ว อย่าสะกิดแผลในใจอีกเลย