xs
xsm
sm
md
lg

เดินหน้า! เครือข่ายต้านถ่านหินปัตตานี-สงขลา จี้รัฐหยุดสร้างเงื่อนไขภัยแทรกซ้อนสันติภาพชายแดนภาคใต้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - คณะเดินเท้า “ต่อลมหายใจ คนชายแดนใต้” รณรงค์หยุดโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ปัตตานี-สงขลา ออกเดินทางวันที่ 2 พร้อมออกแถลงการณ์จี้รัฐบาลยุติภัยถ่านหิน ยุติเงื่อนไขของภัยแทรกซ้อนต่อสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้

วันนี้ (9 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนของเครือข่ายประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ปกป้องสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อสันติภาพ (PERMATAMAS) เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน และเครือข่ายนักศึกษา ม.อ.ปัตตานี เพื่อความเป็นธรรม ได้ออกเดินเท้าเป็นวันที่ 2 ตามกิจกรรม “ต่อลมหายใจ คนชายแดนใต้” เพื่อรณรงค์หยุดโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน
 

 
โดยวันนี้ คณะเดินรณรงค์ได้เดินทางออกจากพื้นที่บ้านบางตาวา อ.หนองจิก จ.ปัตตานี พร้อมกับมีการแจกแผ่นพับใบปลิวให้แก่ประชาชนที่ตลาดบ้านบางตาวา ก่อนจะมุ่งหน้าเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางในวันนี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี

นายดิเรก เหมนคร ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ปกป้องสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อสันติภาพ กล่าวว่า การเดินรณรงค์ที่เริ่มตั้งแต่เมื่อวานที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชนตลอดเส้นทางที่เดินทางผ่าน ซึ่งเชื่อว่า ข้อมูลที่ประชาชนได้รับจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจปกป้องสิทธิชุมชนเพื่อไม่ให้มีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินอันจะส่งผลระยะยาวต่อประชาชนใน จ.ปัตตานี และ จ.สงขลา
 

 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกิจกรรมการเดิน “ต่อลมหายใจ คนชายแดนใต้” วันนี้ได้มีการออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 2 ของการเดิน “ต่อลมหายใจชายแดนใต้” เรื่อง “ยุติภัยถ่านหิน ยุติเงื่อนไขของภัยแทรกซ้อนต่อสันติภาพ” โดยเนื้อหาระบุว่า

โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จังหวัดสงขลา ขนาดใหญ่ถึง 2,200 เมกะวัตต์ อีกทั้งการปรากฏตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินปานาเระ อีกขนาด 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็น 2 หายนะใหม่ของชายแดนใต้ ซึ่งนอกจากส่งผลกระทบถึงสิ่งแวดล้อม สุขภาพ วิถีชีวิตของชุมชน ป่าชายเลน รวมทั้งสัตว์น้อยใหญ่แล้ว แต่ที่สำคัญคือ การเกิดขึ้นของโรงไฟฟ้าเทพา และปานาเระ จะเป็นการสร้างเงื่อนไขใหม่อันเป็นภัยแทรกซ้อนต่อกระบวนการสันติภาพหรือไม่ นับเป็นโจทย์ใหญ่ที่ภาคประชาชนในชายแดนใต้ และคนไทยทั้งประเทศต้องให้ความสำคัญ และยุติเงื่อนไขนี้
 

 
แม้สถานการณ์ความรุนแรงของจังหวัดชายแดนภาคใต้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ก็ยังมีความเปราะบางยิ่ง บทเรียน 12 ปีของเหตุความไม่สงบ ชัดเจนว่า ต้นเหตุสำคัญของการที่สถานการณ์ยังดำรงอยู่ และยังต่อเนื่องอยู่นั้น ก็เพราะ หนึ่ง ความไม่เป็นธรรม หรือความรู้สึกไม่เป็นธรรมยังดำรงอยู่ และสอง การที่ภาครัฐไม่เคารพในอัตลักษณ์ และวัฒนธรรมของคนชายแดนใต้ และทั้ง 2 สาเหตุนี้กำลังจะถูกตอกย้ำ และซ้ำบาดแผลเดิมจากโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา และปานาเระ
 

 
ในประเด็นความไม่เป็นธรรมนั้น เนื่องจากทางโครงการได้มีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสังคม ในรัศมีเพียง 5 กิโลเมตร โดยมีเจตนาที่จะไม่ทำการศึกษาเข้าไปในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ทั้งๆ ที่ผลกระทบนั้นไกลถึง 100 กิโลเมตร อีกทั้งไม่มีการจัดเวทีสร้างการรับรู้ หรือการรับฟังความคิดเห็นใดๆ ในพื้นที่ปัตตานี ยะลา นราธิวาส แม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งถือเป็นการลักไก่เอาเปรียบชุมชน ไม่เห็นหัวคนชายแดนใต้ และเป็นการทำการศึกษาพอเป็นพิธีเพื่อให้ได้รับการอนุมัติโครงการเท่านั้น ซ้ำยังขาดการมีส่วนร่วมในการรับรู้ และร่วมตัดสินใจ เท่ากับเป็นการทำลายหลักการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” นับเป็นการสร้างเงื่อนไขความรู้สึกที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม อันเป็นสาเหตุสำคัญที่เป็นภัยต่อสันติภาพชายแดนใต้
 

 
ในประเด็นการไม่เคารพในอัตลักษณ์ และวัฒนธรรมของคนพื้นที่ต่อกรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพานั้น ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ การที่ต้องมีการย้ายประชาชนกว่า 240 ครัวเรือน หรือนับพันคนออกจากบ้าน และที่ดินที่เป็นที่ฝังรกรากของเขา โดยที่เขาเหล่านั้นจำใจต้องยินยอมอย่างไม่มีทางเลือก ทั้งจากอิทธิพลมืดในพื้นที่ และจากความเกรงกลัวต่ออำนาจรัฐที่แสดงตนชัดเจนว่า อยู่ข้างทุนถ่านหิน ซึ่งกรณีนี้จะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งสำคัญครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชายแดนใต้ และแน่นอนว่า จะเป็นอีกเงื่อนไขต่อสันติภาพ
 

 
และประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ซึ่งกระทบต่อมัสยิด และกุโบร์(สุสาน) 2 แห่ง วัด 1 แห่ง และโรงเรียนปอเนาะอีก 1 แห่ง ซึ่งมีแนวโน้มที่ต้องย้ายออกไปในที่สุด แม้ว่า กฟผ.จะชี้แจงว่า ไม่ย้ายแต่จะอนุรักษ์ไว้ แต่นับถึงวันนี้ก็ไม่ปรากฏหลักฐานรูปธรรมใดๆที่จะบอกว่า กฟผ.จะออกแบบอย่างไรหากไม่ย้ายศาสนสถานเหล่านี้ เพราะการก่อสร้างต้องถมดินสูงหลายเมตร อีกทั้งต้องกั้นรั้วเพื่อความปลอดภัย รวมทั้งการซื้อปอเนาะตะเยาะซูตีบอ และให้ย้ายออกไปสร้างที่ใหม่ ก็กระทบต่อความรู้สึก และความศรัทธาของประชาชนในพื้นที่อย่างยิ่ง เสมือนเป็นการพัฒนาที่ยินยอมให้มีการทำลายศาสนา ซึ่งไม่ถูกต้อง
 

 
“วันที่ 2 ของการเดิน “เพื่อต่อลมหายใจคนชายแดนใต้” ในวันที่ 8-10 เมษายน 2559 จาก ม.อ.ปัตตานี สู่บ้านคลองประดู่ อำเภอเทพา นั้น จึงมีจุดหมายปลายทางที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี เพื่อบอกกล่าวปัญหาแก่คนชายแดนใต้ และทวงถามความเป็นธรรมจากรัฐบาล เป็นแสดงออกเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา โรงไฟฟ้าถ่านหินปานาเระ เพื่อยุติการสร้างเงื่อนไขใหม่ที่เป็นภัยแทรกซ้อนต่อการได้มาซึ่งสันติภาพชายแดนใต้”
 


 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น