ยะลา - โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ชี้แจงกรณีมีการบิดเบือนข้อมูลกรณีคนร้ายบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้องบนโลกออนไลน์ เตรียมเชิญ บก.Wartani ทำความเข้าใจ หลังโพสต์ข้อมูลบิดเบือน
วันนี้ (18 มี.ค.) ที่ห้องแถลงข่าวศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมด้วย พ.อ.ยุทธนาม เพชรม่วง รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้ากรณีเกิดเหตุการณ์คนร้ายบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง ที่ จ.นราธิวาส ว่า จากกรณีเหตุการณ์กลุ่มโจรได้บุกเข้ายึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง และใช้เป็นสถานที่โจมตีฐานปฏิบัติการกองร้อยทหารพรานที่ 4816 เหตุเกิดเมื่อ 13 มี.ค.59
ภายหลังเหตุการณ์ทุกภาคส่วนได้ออกมาประณามการกระทำดังกล่าวอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นพฤติกรรมที่ป่าเถื่อน และไร้มนุษยธรรม ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ซึ่งอย่างไรก็ตาม ต่อกรณีเหตุการณ์ดังกล่าวกลับมีบุคคลบางกลุ่ม และนักวิชาการบางคนได้แสดงความคิดเห็นในทางตรงกันข้าม โดยเรียกร้องให้มีการทบทวนการตั้งฐานปฏิบัติการให้ห่างไกลจากสถานที่ที่เป็นเป้าหมายอ่อนแอ เช่น โรงพยาบาล และโรงเรียน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังพบว่า นายทวีศักดิ์ ปิ จากสำนักข่าว Wartani และสถานีวิทยุมีเดียสลาตัน ได้พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการสร้างสถานการณ์โดยเจ้าหน้าที่รัฐ
พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอเรียนชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจว่า สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา พบว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้มุ่งกระทำต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ประชาชนผู้บริสุทธ์ ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ ดังที่ปรากฎให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ เช่น การทำร้ายเจ้าหน้าที่อนามัยเสียชีวิต 2 ราย ในพื้นที่อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี การลอบวางระเบิดลานจอดรถยนต์ภายในโรงพยาบาลโคกโพธิ์ โรงพยาบาลมายอ จังหวัดปัตตานี การลอบวางเพลิงโรงเรียน และสถานีอนามัยพร้อมกันหลายแห่ง การทำร้ายบุคลากรทางการศึกษา พระ และพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ ส่งผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อมต่อชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนอย่างกว้างขวาง รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐทุกภาคส่วนที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีหน้าที่หลักในการดูแลความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินจากการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง และบังคับใช้กฎหมายต่อผู้ที่กระทำผิดไม่ใช่มาทำสงคราม
“สำหรับการตั้งฐานปฏิบัติการได้คำนึงถึงความเหมาะสม และปฏิบัติตามคำแนะนำขององค์กรต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยพิจารณาที่สำคัญ คือ จะต้องสามารถควบคุมพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน สถานที่ราชการ และรัฐวิสาหกิจได้ เพราะเป็นเป้าหมายหลักในการโจมตีของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงซึ่งมีพฤติกรรมสุดโต่ง เผด็จการ และก่อการร้าย ดังนั้น การออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการถอนกำลังทหารออกนอกพื้นที่ หรือให้ตั้งฐานปฏิบัติการห่างไกลจากเป้าหมายอ่อนแอ จะเป็นการสนับสนุน และเปิดโอกาสให้ผู้ก่อเหตุรุนแรงสร้างสถานการณ์ต่อเป้าหมายดังกล่าวได้ง่ายยิ่งขึ้น” พ.อ.ปราโมทย์ กล่าว
โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังได้กล่าวอีกว่า สำหรับอาวุธปืนกลเบา เอ็ม 60 ที่ใช้ในการก่อเหตุ คนร้ายได้ปล้นไปจากกองพันพัฒนาที่ 4 เมื่อวันที่ 4 ม.ค.47 จำนวน 2 กระบอก และปล้นแย่งชิงไปจากเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 14 ม.ค.51 จำนวน 1 กระบอก โดยในห้วงที่ผ่านมา กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ใช้ก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่ นายอับดุลรอฮิง ดาอีซอ หรืออุสตาสรอฮิง อาซ่อง หรือเปเล่ดำ พร้อมพวก ใช้อาวุธปืนเอ็ม 60 ซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ชุด EOD นราธิวาส ที่บริเวณเขายือลาแป รอยต่อ อ.รือเสาะ กับ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ซึ่งกลุ่มคนร้ายมีการถ่ายคลิปเอาไว้ และมีการเผยแพร่ในโลกโซเชียลในห้วงเวลาดังกล่าว ดังนั้น การเคลื่อนไหว หรือแสดงออกทางความคิด ถึงแม้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคนแต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงที่ไม่มีเจตนาบิดเบือน เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จึงควรเคลื่อนไหว หรือเรียกร้องให้กลุ่มขบวนการยุติการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ ยุติการปลุกระดมบ่มเพาะ ยุติการบิดเบือนข้อเท็จจริงให้เกิดความหวาดระแวง และความเกลียดชัง เพื่อไม่ให้สังคมเกิดความสงสัยว่าเป็นการเคลื่อนไหวด้วยความหวังดี หรือมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง ซึ่งเป็นการทำลายบรรยากาศการสร้างสภาวะแวดล้อมให้เกื้อกูล และหนุนเสริมกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
“สำหรับ นายทวีศักดิ์ ปิ ซึ่งเป็นบรรณาธิการสำนักข่าว Wartani และสถานีวิทยุมีเดียสลาตัน ที่ได้เผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และบิดเบือนข้อมูลว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่นั้น ทางแม่ทัพภาค 4 ก็ได้ให้แนวทางการปฏิบัติมาแล้ว คือ หากผู้ใดก็ตามที่มีเจตนาบิดเบือน มีเจตนาที่จะสร้างความแตกแยก สร้างความยั่วยุ ก็จะต้องสร้างความเข้าใจ กรณีของสื่อท่านนี้ก็เช่นเดียวกัน ก็จะมีการสร้างความเข้าใจ” พ.อ.ปราโมทย์ กล่าว