ยะลา - คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวทหารพรานที่เสียชีวิตจากเหตุระเบิดในสุสาน พร้อมเรียกร้องให้กองกำลังติดอาวุธทุกฝ่ายหยุดทำร้ายผู้บริสุทธิ์ เปิดพื้นที่ปลอดภัย เพื่อไปสู่การพูดคุยสันติภาพ
จากกรณีเกิดเหตุคนร้ายนำระเบิดมาซุกในหลุมศพของ นางวาสะนะ เจ๊ะดอเลาะ ก่อนที่จะจุดชนวนระเบิด ในขณะที่ อส.ทพ.ซัยค์ เจ๊ะดอเลาะ จนท.ทหารพราน สังกัดกรมทหารพรานที่ 43 บุตรชาย และนายอาซิ เจ๊ะดอเลาะ สามี กำลังอ่านกุรอานอยู่ที่หน้าหลุมศพ เป็นเหตุให้ อส.ทพ.ซัยค์ เสียชีวิต ส่วน นายอาซิ ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนั้น แรงระเบิดยังทำให้ศพของ นางวาสะนะกระเด็นขึ้นมาจากหลุม เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา ตามข่าวที่ได้เสนอไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (16 ธ.ค.) นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ พ.ท.สุพรรณ ร้อยพุทธ ผบ.ฉก.ยะลา 16 พร้อมคณะ ได้เดินทางมายังบ้านเลขที่ 2 หมู่ 6 บ.บ่อเจ็ดลูก ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา ซึ่งเป็นบ้านของนายอาซิ เจ๊ะดอเลาะ บิดาของผู้เสียชีวิต เพื่อเข้าเยี่ยมให้กำลังใจ พร้อมสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากครอบครัวเจ๊ะดอเลาะ
นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ทางกรรมการสิทธิมนุษยธรรม รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับสุสานของพี่น้องมุสลิม โดยเป็นระเบิดที่รุนแรงมาก ติดตามข่าวด้วยความเศร้าใจ จึงเดินทางลงพื้นที่เพื่อที่จะให้กำลังใจแก่ครอบครัวของผู้ที่เสียชีวิต ซึ่งหลังจากที่ได้พูดคุยก็พบว่า ครอบครัวนี้เข้มแข็ง แต่ทางภรรยาของผู้เสียชีวิตก็เป็นกังวลว่า ลูกสาวคนโต ซึ่งสนิทกับผู้เป็นพ่อมากมีอาการซึมเศร้า
“ที่ผ่านมา ทางอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนภาคใต้ ก็ให้ความสำคัญต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งในขณะนี้อยู่ในกระบวนการสันติภาพ ทุกฝ่ายก็ควรที่จะไม่ใช้กำลังต่อผู้บริสุทธิ์ รวมทั้งในสุสานที่ทางมุสลิมจะให้เกียรติต่อผู้ที่เสียชีวิตมาก และไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นมา
ตนจึงขอฝากไปยังผู้ที่ก่อเหตุว่า อย่างน้อยที่สุด สุสานก็เป็นที่ที่มุสลิมจะให้เกียรติแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ถือว่ากลับไปสู่ความเมตตาของพระเจ้า ก็ไม่สมควรที่จะได้กระทำเช่นนั้น แรงระเบิดทำให้ศพที่ฝังไปแล้วกระเด็นออกมาด้วย ทำให้เกิดความเศร้าใจต่อทางครอบครัว และชุมชน โดยหวังว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ทุกฝ่ายจะต้องตระหนักถึงการที่จะให้เกียรติเคารพซึ่งกันและกัน” นางอังคณา กล่าว
กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ยังได้กล่าวอีกว่า สำหรับการเรียกร้องพื้นที่ปลอดภัยนั้น ทางกองกำลังติดอาวุธทุกฝ่ายจะต้องเคารพร่วมกัน ในฐานะที่เป็นประชาชน และองค์กรสิทธิมนุษยชน ก็เรียกร้อง และเฝ้าระวัง ซึ่งทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน การใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุ บุคลากรสาธารณสุข หรือครู โรงเรียน ก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้คือความมั่นคง คือ อนาคต
รวมทั้งผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วในสุสานก็ไม่คิดว่าจะถูกรบกวน ซึ่งก็อยากให้ทุกฝ่ายได้ตระหนักในเรื่องของการใช้ความรุนแรง ส่วนการพูดคุยเพื่อสันติภาพที่กำลังดำเนินการอยู่นั้น สำคัญที่สุดคือการเปิดพื้นที่ปลอดภัยซึ่งกันและกันที่จะคุยกันได้ แต่ถ้ายังมีคนบางกลุ่มที่ถูกละเมิดอยู่ ก็จะพูดคุยกันได้อย่างไร กองกำลังติดอาวุธทุกฝ่ายก็ไม่ควรที่จะใช้ผู้บริสุทธิ์มาเป็นเครื่องต่อรองในการสร้างความรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์เพื่อที่จะมีการเรียกร้องอะไร