แปลและเรียบเรียง : ทีมงาน Data Forsiam
Godfrey Baluku Kime นายกเทศมนตรีของเมือง Kasese ประเทศยูกันดา ชูวิสัยทัศน์ตั้งเป้าหมายให้ชุมชนได้ใช้พลังงานสะอาด 100% ภายในในปี 2020 เพื่อปรับปรุงมาตรฐานการดำรงชีวิต และสุขภาพของประชาชนให้ดีขึ้นกว่าเดิม
โครงการพลังงานหมุนเวียนเปิดตัวขึ้นในปี 2012 เพื่อให้บริการด้านพลังงานทั้งในเขตเมือง และชนบท เนื่องจากมีเพียง 10,000 ครัวเรือน จาก 134,000 ครัวเรือน (7.6%) ที่เข้าถึงไฟฟ้า เราจึงต้องการแหล่งพลังงานทดแทนจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นชีวมวล แสงอาทิตย์ น้ำ ลม เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า
มีการใช้พลังงานจากลมในการผลิตไฟฟ้าสำหรับโคมไฟบนถนนสาธารณะของเมือง Kasese ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางที่จะนำไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ความมุ่งมั่นของนายกเทศมนตรีที่ทำให้เกิดการลงมือทำ มีแรงบันดาลใจมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของโลก
และที่สำคัญเขาต้องการเพิ่มปริมาณการผลิตพลังงานหมุนเวียน เพื่อการปรับปรุงมาตรฐานในการดำรงชีวิต และสุขภาพที่ดีขึ้นของประชาชน และยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอีกทางหนึ่งด้วย
แนวความคิดที่น่าสนใจคือ การเข้าถึงแหล่งพลังงานทดแทน ถือเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการพัฒนาโครงการพื้นฐานสาธารณะ สถาบันการศึกษา ตลาด และศูนย์สุขภาพของประชาชน สภาตำบลได้ออกนโยบายให้ความช่วยเหลือโดยการลดหย่อนภาษี เพื่อจูงใจสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องต่อพลังงานทดแทน
นอกจากนี้ ยังจัดให้มีการฝึกงานการติดตั้ง การบำรุงรักษาร่วมกับมหาวิทยาลัย องค์กรพัฒนา รวมถึงการหาแหล่งเงินกู้ให้แก่ธุรกิจท้องถิ่น สำหรับการโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดเล็กสำหรับหมู่บ้านห่างไกลที่อยู่บนภูเขา
ที่ผ่านมา ประชากรส่วนใหญ่ใช้ถ่าน และฟืนสำหรับการประกอบอาหาร ทำให้เกิดควันพิษที่นำไปสู่ปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิง ในทำนองเดียวกัน 85% ของชาวบ้านใช้น้ำมันก๊าดสำหรับไฟฟ้าในอาคาร ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาแพง และไม่มีประสิทธิภาพ นับเป็นภาระทางการเงินที่สำคัญสำหรับครอบครัวที่ยากจน
พลังงานแสงอาทิตย์จะเป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเดิมๆ ของเรา ในการประกอบการลดความเสี่ยงจากน้ำมันก๊าด ช่วยลดมลพิษในอาคาร และที่สำคัญราคาพลังงานที่ถูกลงจะทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น มีเหลือเพียงพอสำหรับนำไปเป็นค่าอาหาร เสื้อผ้า และการศึกษาของประชาชน
ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น หมายถึงมีประสิทธิภาพมากพอที่จะจัดการให้มีการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นของตัวเอง การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในชุมชน การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อสื่อสารกับโลกภายนอก และการเข้าถึงสื่อต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
เกิดการสร้างงาน สร้างทักษะใหม่ๆ สำหรับชาวบ้านที่เข้าร่วมโครงการ จำนวนธุรกิจในระบบ Green Economy ขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 55% ตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา มีผู้เข้ารับการฝึกอบรมนับพันคน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ร่วมเติบโตเพิ่มขึ้นไปด้วย ซึ่งมาจากการเข้าถึงแหล่งพลังงานราคาถูก ต้นทุนทุกอย่างต่ำลง
“พลังงานทดแทน” จึงเป็นโครงการที่มีความสำคัญ สนับสนุนศักยภาพของชุมชนอย่างยั่งยืน ปรับปรุงวิถีชีวิตเดิมๆ และเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเมืองอื่นๆ ในแอฟริกาที่จะปฏิบัติตาม รวมถึงประเทศส่วนที่เหลือของโลก
(http://www.theguardian.com/global-development-professionals-network/2015/oct/20/ugandan-mayor-my-district-will-be-100-renewable-by-2020)
-------------------------------------------------------
หมายเหตุจากผู้แปล
อ่านวิสัยทัศน์ของนายกเทศมนตรีเมืองเล็กๆ ของประเทศยูกันดา จากที่เคยคิดว่ายูกันดาล้าหลัง ด้อยพัฒนา คุณภาพชีวิตย่ำแย่ ตอนนี้ต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ เมื่อคนของเขากล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
แต่เมื่อหันกลับมามองประเทศไทย ดูเหมือนเราจะศิวิไลซ์ไปเสียทุกด้าน เทคโนโลยีต่างๆ ไม่เคยน้อยหน้าใคร แต่เหตุใดคนของเราจึงคิดคำนึงถึงแต่ตัวเอง เหตุใดผู้นำ และหน่วยงานรัฐจึงไม่ผลักดันให้เป็นรูปธรรม การกีดกันธุรกิจที่เกี่ยวข้อง การตั้งกำแพงเงื่อนไขทางการค้า ทางภาษี เมื่อไหร่สิ่งเหล่านี้จะหมดไปจากประเทศของเรา
ยังมีอีกหลากหลายบทความที่บอกให้เรารู้ถึงทิศทางการเคลื่อนไปข้างหน้าในการใช้พลังงานสะอาด เป็นการตระหนัก และรับผิดชอบโลกใบนี้ร่วมกัน ไม่เพียงเพื่อประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เพื่อโลกของเรา
เมื่อผีเสื้อขยับปีก ย่อมมีผลกับโลกทั้งใบ