ตรัง - ผู้เฒ่าชาว ต.บางเป้า อ.กันตัง อาลัย “โคหัวกัว” วัวชนแสนรัก ซึ่งโชว์ผลงานสุดยอดชนชนะถึง 19 ครั้งติดต่อกัน จึงสร้างอนุสาวรีย์ให้เป็นแห่งเดียวของประเทศไทย
วันนี้ (23 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านควนทองสีห์ หมู่ที่ 6 ต.บางเป้า อ.กันตัง จ.ตรัง มีการสร้างอนุสาวรีย์โคชน หรือวัวชน ที่มีเพียงแห่งเดียวของประเทศไทย และเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปของผู้คนรุ่นอายุ 70-80 ปี โดยสร้างขึ้นมาเมื่อปี 2535 หรือกว่า 20 ปีที่แล้ว ตามแนวคิดของนายสมบูรณ์ รักราวี อดีตเกษตรกรชาวนา ซึ่งเคยประกอบอาชีพรับเลี้ยงวัวพื้นเมืองที่ถูกส่งมาจากจังหวัดต่างๆ ในภาคใต้ ฝูงละ 500-1,000 ตัว ก่อนนำลงท่าเรือกันตัง แล้วส่งไปขายยังประเทศอินโดนีเซีย
นายตรีจักร รักราวี อายุ 60 ปี ครูโรงเรียนบ้านบางเป้า และนายหนังตะลุงคณะ อ.ตรีจักร ตะลุงบัณฑิต เล่าให้ฟังว่า คุณพ่อสมบูรณ์ ได้พ่อพันธุ์วัวชนมาจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งดูแล้วมีรูปร่างดี จึงนำมาผสมกันแม่พันธุ์วัวชนในจังหวัดตรัง จนได้ลูกวัวชนตัวหนึ่งออกมา แต่เนื่องจากที่หน้าผากของมันมีขนงอกออกมาเป็นวงกลมสีขาว จึงตั้งชื่อว่า “โคหัวกัว” เพราะมีลักษณะเหมือนกับปลาหัวตะกั่ว กระทั่งประมาณปี 2487 เมื่อลูกวัวชนตัวนี้เติบใหญ่สมบูรณ์เต็มที่ จึงได้นำไปชนแข่งขันทั่วทั้งภาคใต้
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 10 ปี ในการลงสังเวียนสู้ศึกของ “โคหัวกัว” สามารถเอาชนะคู่แข่งได้ถึง 19 ครั้งติดต่อกัน อย่างที่ไม่เคยมีวัวชนตัวใดทำได้เลยมาจนถึงปัจจุบันนี้ กระทั่งเมื่อถึงนัดที่ 20 ซึ่งเป็นไฟต์ที่จำต้องลงสนามแข่งตามเสียงเรียกร้องของเซียนวัวชน และถูกจับคู่ให้ชนกับ “โคขาวเทวา” จากอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยคืนก่อนลงสังเวียน คุณพ่อสมบูรณ์ ฝันว่า วัวชนของเขาจะไม่แพ้วัวตัวใดในประเทศไทย นอกจากวัวเทวดา ขณะที่ “โคหัวกัว” ก่อนจะชนในครั้งนั้นก็ยืนน้ำตาไหลอาบแก้ม
หลังจากลงทำการแข่งในนัดที่ 20 และต้องพ่ายไปเป็นครั้งแรก คุณพ่อสมบูรณ์ ตัดสินใจยุติบทบาทวัวชนแสนรักบนสังเวียนอย่างสิ้นเชิง แล้วนำมาเลี้ยงไว้จนตายลงไปเมื่อปี 2497 อย่างไรก็ตาม ด้วยความอาลัย และเพื่อแสดงความยกย่อง คุณพ่อจึงได้สร้างอนุสาวรีย์ให้เมื่อปี 2535 ที่บริเวณบ้านคุณย่า คือ นางช่วง รักราวี ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว โดยปั้นวัวชนขนาดเท่าตัวจริง พร้อมตัวฐาน โต๊ะบูชา รั้ว และโคมไฟ ซึ่งจะมีการทำบุญเลี้ยงพระ และอาบน้ำให้รูปปั้นทุกวันที่ 14 เมษายน หรือเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี
นายละดม เชื้อช่วย นายกองค์การบริการส่วนตำบล (อบต.) บางเป้า กล่าวว่า ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของอนุสาวรีย์ “โคหัวกัว” จึงมีเซียนวัวชนมาบทบานศาลกล่าวก่อนนำวัวไปลงสนามแข่ง รวมไปถึงชาวประมงซึ่งต้องออกเรือไปหาปลา ก็จะมาขอพรกัน โดยหากสำเร็จผลก็จะนำธูปเทียน กล้วยน้ำว้า อ้อย หญ้าครุน และประทัด มาบูชา รวมทั้งบางรายยังได้มีการนำหนังตะลุงมาแสดงแก้บนหน้าอนุสาวรีย์ด้วย อย่างไรก็ตาม หากวัวตัวดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้เชื่อว่า จะมีค่าตัวมูลค่าสูงในระดับต้นๆ ของประเทศคือ ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทเลยทีเดียว