กระบี่ - ม็อบสวนปาล์มกระบี่สุดช้ำใจ เจ้าหน้าที่รัฐเข้าสลายการชุมนุมทำเกินกว่าเหตุ ทุบทำลายทรัพย์สินเกลี้ยง แม้กระทั่งเงินทอดกฐินของวัดสูญหายกว่า 3,000 บาท และทรัพย์สินมีค่าอีกจำนวนมาก
จากกรณีที่มีการสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทหาร ฝ่ายปกครอง นำกำลังเจ้าหน้าที่ประมาณ 1,000 นาย เข้าผลักดันกลุ่มมวลชนที่ปักหลักยึดที่ดินหมดอายุสัมปทานปลูกปาล์มน้ำมันของบริษัท ยูนิวานิช จำกัด ในพื้นที่ ม.5 ม.7 ม.8 และ ม.9 ต.ปลายพระยา อ.ปลายพระยา จ.กระบี่ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลนำที่ดินที่หมดอายุสัมปทานมาจัดสรรให้แก่คนจนตามมติ ครม.2546 จนทำให้เครือข่ายกลุ่มผู้ชุมนุมในสวนปาล์มบางกลุ่มไม่พอใจเจ้าหน้าที่ และได้มารวมตัวกันที่บริเวณสนามบินกระบี่ เกิดการปะทะกับม็อบอีกฝ่าย จนเจ้าหน้าที่ต้องเข้าขวางก่อนที่จะแยกย้ายกันออกไปด้วยความสงบ
ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (14 พ.ย.) นายไชยฤทธิ์ เรืองเสือ อายุ 39 ปี ภูมิลำเนาอยู่ตำบลคลองสก อ.พุนพิน จังหวัดสุราษฎธานี 1 ในแกนนำกลุ่มประชาชนเพื่อประชาชน กล่าวว่า ตนและสมาชิกประมาณ 200-300 คน ได้ปักหลักชุมชุมกันอยู่ในสวนปาล์มน้ำมันที่หมดอายุสัมปทาน ของบริษัท ยูนิวานิช จำกัด (มหาชน) ในพื้นที่หมู่ที่ 5 ตำบลปลายพระยา อ.ปลายพระยา จ.กระบี่ ก่อนที่ถูกทางเจ้าหน้าที่หลายร้อยนายได้เข้าไปผลักดันให้กลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหมดออกจากสวนปาล์ม เมื่อวานนี้ (13 พ.ย.) สมาชิกบางคนก็ได้ออกจากพื้นที่กลับภูมิลำเนาไป ส่วนตนและสมาชิกอีกจำนานหนึ่งได้ถอยร่นออกไปอยู่ด้านหลังของสวนปาล์มน้ำมัน
หลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่เห็นว่าไม่มีใครอยู่ในพื้นที่ก็ได้ทำการรื้อค้นทรัพย์สิน สิ่งของมีค่าของกลุ่มผู้ชุมนุมในเพิงพัก ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า ถังแก๊สหุงต้ม เงินทอง แม้กระทั่งเงินทอดกฐินของวัดที่ชาวบ้านร่วมกันบริจาค จำนวนกว่า 3,000 บาท ก็กวาดเอาไปหมดไม่มีเหลือ พฤติกรรมดังกล่าวเลวทรามมาก ไร้ความเมตตาปรานี แม้แต่ผืนธงชาติพวกมันยังกล้าเหยียบย่ำ ในความเป็นจริงแล้วทางกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหมดไม่ได้ต่อสู้ หรือคัดค้านการกระทำของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด เพียงแต่ทางกลุ่มผู้ชุมนุมเห็นว่าป้ายที่ทางเจ้าหน้าที่มาปักประกาศไว้หน้าแปลงที่พวกตนอาศัยอยู่นั้นอยู่ในพื้นที่ ม.7 ม.8 และ 9 ต.ปลายพระยา
ส่วนแปลงที่พวกตนอาศัยอยู่นี้ อยู่ใน ม.5 ต.ปลายพระยา จึงไม่เกี่ยวกัน ทำให้พวกตนไม่ทันตั้งตัว เมื่อเห็นกลุ่มเจ้าหน้าที่จู่โจมเข้ามาจึงได้วิ่งหลบหนีไปอยู่ท้ายสวน ทำให้จัดเก็บข้าวของไม่ทัน จึงถูกเจ้าหน้าที่นำรถไถเข้ามาไถดันเพิงพักพังเสียหายยับเยิน และกวาดเอาทรัพย์สินมีค่าไป โดยเชื่อว่าร่วมกับคนงานของบริษัทอย่างแน่นอน และในวันนี้ตน และสมาชิกประมาณ 80 กว่าคน ได้กลับมาเพื่อที่จะเก็บข้าวของกลับบ้าน แต่พอมาเห็นสภาพที่พัก และทรัพย์สินของตนเอง และของเพื่อนถูกทำลายเสียหายทั้งหมดไม่มีเหลือ แทบจะเป็นลม ไม่เคยคิดว่าเจ้าหน้าที่กระทำได้ถึงเพียงนี้
นายไชยฤทธิ์ กล่าวอีกว่า ตอนนี้ตน และเพื่อนสมาชิกยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรจะไปแจ้งความที่ สภ.ปลายพระยา ก็ไม่แน่ใจว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรับแจ้งความหรือไม่ สมาชิกบางคนจะกลับภูมิลำเนาก็ไม่มีเงินกลับ ถูกเจ้าหน้าที่เอาไปหมดแล้ว นอกจากนี้ มีทรัพย์สินของสมาชิกรายการอื่นๆ ประกอบด้วย รถยนต์กระบะ 1 คัน รถจักรยานยนต์ 7 คัน ถังแก๊ส ถูกยึดไปจนเกลี้ยง ทำให้ไม่มีที่ไปอีก เงินก็หมด ทำอาหารกินก็ไม่ได้ จำใจต้องอยู่ในพื้นที่ต่อไป
ด้านนางรัตนา ไทยเพิ่มพูล สมาชิกกของกลุ่มฯ กล่าวว่า ในที่พักของตนถูกทางเจ้าหน้าที่รื้อค้นเอาทรัพย์สินที่มีค่าไปหมด ทั้งเงิน และสร้อยคอ พระเลี่ยมทอง เครื่องครัว ถังแก๊ส ถ้วยจานชาม ไม่เหลืออะไรเลย และนอกจากนั้น ยังเอาเงินจากพุ่มกฐินสามัคคีของวัดถ้ำสายทอง อยู่ที่หมู่ที่ 5 ตำบลปลายพระยา อำเภอปลายพระยา ที่มีเงินอยู่ จำนวน 3,700 กว่าบาทไปด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ภายในสวนปาล์มน้ำมันหมดอายุสัมปทานของบริษัท ยูนิวานิช ม.8 ต.ปลายพระยา อ.ปลายพระยา จ.กระบี่ ทางกลุ่มภาคีเครือข่ายไร้ที่ดินทำกินได้กลับเข้ามายึดสวนปาล์มใหม่อีกรอบ หลังจากที่ถูกเจ้าหน้าที่ผลักดันออกไปวานนี้เช่นเดียวกัน โดยพบว่าสภาพเพิงพักถูกทำลายจนหมดเกลี้ยง โดย นายชูวงศ์ มณีกุล แกนนำฯ กล่าวว่า หลังจากที่ทางจังหวัดได้มาปักป้ายประกาศให้ออกจากสวนปาล์ม ของวันที่ 13 พ.ย.58 ตั้งแต่เวลา 05.00 น.ถึงวันที่ 14 พ.ย.58 เวลา 05.00 น. ซึ่งได้ครบเวลาแล้ว พวกตนก็สามารถเข้ามาอยู่ได้อีกครั้ง
ตนอยากให้เจ้าหน้าที่ส่วนกลางได้ตรวจสอบด้วยว่า เจ้าหน้าที่ในระดับจังหวัดที่เข้ามาสลายการชุมนุมของพวกตนภายในสวนปาล์ม ทำงานเพื่อนายทุน หรือเพื่อใคร เพราะนายทุนยังทำมาหากินอยู่ได้ทั้งที่ได้หมดสัญญาสัมปทานไปแล้ว แต่กับพวกตนกลับขับไล่เหมือนหมูเหมือนหมา ทั้งที่พวกตนก็อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ขณะที่บริเวณสนามบินกระบี่ เหตุการณ์ปกติมีกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยตามปกติ