นครศรีธรรมราช - “เชาวน์วัศน์ เสนพงศ์” นำทีม ทน.นครศรีฯ แถลงโต้สภา อบจ.นครฯ เมินโอนกรรมสิทธิ์สนามกีฬากลางให้ดูแล หลัง ส.อบจ.บุกตรวจสอบคุณภาพบริหารจัดการทำให้ดูแลลำบาก ก่อนเผย 3 ปี ผลาญแล้วเกือบ 39 ล้าน เตรียมถลุงเพิ่ม 13 ล้าน งบปี 2559
วันนี้ (3 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดนครศรีธรราราช ว่า หลังจากกระแสข่าวสภาพสนามกีฬากลาง จ.นครศรีธรรมราช ที่อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมอย่างหนักถูกเปิดเผยจนเป็นข่าวโด่งดัง และชาวนครศรีธรรมราชให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง สืบเนื่องจาก ส.อบจ.นครศรีธรรมราช เขต อ.เมือง เข้าไปตรวจสอบเพื่อประกอบการพิจารณาญัตติขอความเห็นชอบโอนสนามกีฬากลาง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งประกอบด้วย สิ่งปลูกสร้างและส่วนควบรวม 10 รายการ และฌาปนสถาน (เมรุเผาศพ) วัดชะเมา อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช อีก 1 รายการ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยภายหลังการประชุมพิจารณาญัตตินี้ของสภา อบจ.นครศรีธรรมราช ได้มีมติไม่เห็นชอบในการโอนกรรมสิทธิ์สนามกีฬากลางนครศรีธรรมราช ให้แก่เทศบาลนครนครศรีธรรมราช ตามที่ นายเชาวน์วัศ เสนพงศ์ นายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช ทำหนังสือมาร้องขอ โดยมีติเห็นชอบโอนให้เพียงเมรุเผาศพเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในการตรวจสอบเทศบาลนครนครศรีธรรมราช เป็นเรื่องที่อยู่ในกระแสของการตรวจสอบ และติดตามจากภาคส่วนต่างๆ รวมทั้งสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวางอยู่แล้ว ต่างได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างหนัก หลังจากสภาพของสนามกีฬาที่ทรุดโทรมถูกเปิดเผยผ่านการตรวจสอบของ ส.อบจ. อีกครั้ง และปรากฏข่าวในเชิงการตรวจสอบถึงความผิดปกติมาอย่างต่อเนื่อง ต่างเรียกร้องให้มีการสรุปผลการตรวจสอบจาก สตง.ที่มีการตรวจสอบมาแล้วเป็นเวลาเกือบ 1 ปี แต่ยังไร้วี่แวว แม้ว่าสำนักตรวจสอบ สตง.ภูมิภาคที่ 14 จะสรุปสำนวนส่งไปยังสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินไปแล้วก็ตาม ต่างสงสัยว่าเอกสารเหล่านั้นไปติดอยู่ที่ขั้นตอนใด เหตุใดจึงมีความล่าช้า
โดยหลังจากที่ถูกภาคประชาสังคมโดยเฉพาะสังคมออนไลน์กดดันอย่างหนัก นายเชาวน์วัศ เสนพงศ์ นายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยผู้บริหาร และข้าราชการหัวหน้าส่วนที่เปิดแถลงถึงเรื่องนี้เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมา ด้วยท่าทีเคร่งเครียด และดูเหมือนว่าจะสงวนท่าทีมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งที่ปกติแล้วมักจะมีการกล่าวในทำนองว่า เป็นเรื่องการกลั่นแกล้งทางการเมือง หรือเป็นเรื่องของการเมืองฝ่ายตรงข้ามเสมอ
แต่ในที่สุดยังไม่วายที่จะระบุว่า “สื่อช่วยลงข่าวด้วยความเป็นธรรมสักหน่อย อย่าทำอะไรที่มันไม่เป็นธรรม เหตุที่เกิดวันนี้เพราะสื่อไปชี้อะไรที่มันผิดๆ ไปเยอะ คุณต้องมีจรรยาบรรณให้ได้ สิ่งไหนที่ถูกต้องก็ว่าให้มันถูกต้องไม่ใช่ไปรับใช้เค้า” ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้บริหารรายนี้ หากมีการเสนอข่าวในเชิงของการตรวจสอบความไม่ปกติของคุณภาพโครงการ หรืองบประมาณในส่วนต่างๆ ส่วนเนื้อความที่แถลงนั้นสรุปความได้ว่า
“ลำพังงบประมาณของ อบจ.ไม่ไหว เพราะทาง อบจ.ก็ไม่ได้ทำงบประมาณส่วนนี้ไว้ แต่ทางเทศบาลนคร ได้ตั้งงบประมาณผ่านสภาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ต้องให้ทาง อบจ.โอนมาเป็นของเทศบาลเสียก่อน เพื่อทางเทศบาลจะได้ดูแลอย่างเต็มที่ เทศบาลได้ออกแบบสนามฟุตซอลแบบสากลไว้เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว จะทำตรงสระน้ำเพราะเป็นสระน้ำที่เก่าคาราคาซังมานานแล้ว แต่นักข่าวบางฉบับไปถ่ายเอาตรงนั้นและว่าทางเทศบาลไม่ได้ดูแล แต่แท้จริงแล้วผมเป็นคนสั่งให้คนงานสูบน้ำออกเพื่อจะทำการปรับปรุงกระเบื้องที่บาดเท้าเด็กเมื่อวันก่อน
นายเชาวน์วัศ ยังระบุด้วยว่า แล้วลู่วิ่งในสนามอย่างดีลงทุน 13 ล้าน ทำไมผู้สื่อข่าวถึงไม่ไปถ่ายบ้าง บางคนรู้แต่ไปถ่ายเพื่อทำลาย ถ้าสนามกีฬานี้เป็นของเทศบาลผมจะทำเต็มที่ แต่ในเมื่อสภา อบจ.ไม่อนุมัติ เอาคืนไปคือไปดูแลกันเอาเอง ถ้าทางเทศบาลดูแลแล้วเป็นของ อบจ.มันไม่ถูกต้อง แต่น้อยใจอยู่นิดว่ารักษาการคือ นายสนั่น ไม่ชี้แจงในสภา อบจ. หรือบางคนชี้แจงแล้วไม่เข้าใจ ว่าหากเอาสนามกีฬามาดูแลเองแล้วต้องเสียงบประมาณในการดูแลเองเท่าไหร่
“ผมอยากจะบอกชาว อบจ.ว่าคืนมาเถอะ ให้กรรมสิทธิ์ตกอยู่ที่เทศบาล แต่ถ้าไม่โอนกรรมสิทธิ์ อบจ.ก็เอาคืนไป การดูแลปรับปรุงสนามต่างๆ ผมไม่เสียดายเลย ผมให้ อบจ.ไปเลยและให้ไปเปลี่ยนชื่อสนามกีฬา อบจ.ด้วย ต่อไปใครจะขอให้สนามกีฬาก็ให้ไปขอที่ อบจ. แต่หากทาง อบจ.ไม่พร้อมก็ให้โอนมาเป็นของเทศบาล แล้วทางเทศบาลจะได้ตั้งงบประมาณปรับปรุงสนามกีฬาอย่างเต็มที่ ปีนี้ผมได้ตั้งงบประมาณไว้ 13 ล้าน ในการสร้างโรงยิมที่ถาวร และสระว่ายน้ำ ผมจะรื้อสนามกีฬาที่ข้างสระว่ายน้ำ จากเดิมเป็นสนามฟุตบอลเล็ก มาเป็นสนามฟุตซอลเพื่อรองรับเยาวชนด้วย” นายเชาวน์วัศ กล่าว
นอกจากนั้น ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากที่นายเชาวน์วัศ แถลงได้ไม่นานได้มีการโพสต์เฟซบุ๊กในชื่อผู้ใช้คือ ผศ.เชาวน์วัศ เสนพงศ์ โดยมีเนื้อหาถึงที่ไปที่มาของสนามกีฬา แต่พบว่า จุดที่น่าสนใจแม้ว่านายเชาวน์วัศ จะแถลงว่า หาก อบจ.นครศรีธรรมราช ไม่โอนกรรมสิทธิ์ให้นั้นจะดูแลด้วยความยากลำบาก แต่ข้อเท็จจริงที่มีการโพสต์ไว้อย่างสนใจนั้นพบว่า มีการใช้งบประมาณย้อนหลัง 3 ปี ในสนามกีฬาแห่งนี้สูงถึง 38.94 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบที่สูงมาก แต่กลับได้คุณภาพสนามกีฬาตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วอย่างต่อเนื่อง และในงบปี 2559 ได้เตรียมงบไว้สำหรับสนามกีฬาแห่งนี้อีก 13.59 ล้านบาท
ส่วนการตรวจสอบสนามกีฬาแห่งนี้เป็นไปอย่างต่อเนื่องนับแต่ช่วงปลายปี 2557 ตั้งแต่การจัดซื้อจัดจ้างในกรณีปรับปรุงลู่วิ่งยางโพลิเมอร์ และสนามฟุตบอลมูลค่า 13.4 ล้านบาท เต็มไปด้วยความผิดปกติ นับตั้งแต่ขั้นตอนการปรับปรุง การนำเอารถบรรทุกน้ำของทางราชการมาสนับสนุนให้ผู้รับเหมาใช้งาน หรือแม้กระทั่งหลังจากส่งมอบงานเพียงไม่กี่สัปดาห์ ลู่วิ่งที่นายเชาวน์วัศ ระบุว่า เป็นผลงานที่เยี่ยมยอดมูลค่ากว่า 13 ล้าน
โดยที่ไม่มีการไปบันทึกภาพนั้น กลับกันได้มีการบันทึกการตรวจสอบทุกช่วงระยะจากหลายฝ่าย เช่น ลู่วิ่งที่บวมปูดเป็นระยะๆ หรือสนามฟุตบอลที่อยู่ในสภาพเป็นแอ่งหลุม หรือสภาพน้ำที่ไม่สามารถระบายได้ในช่วงฝนตก หรือแม้กระทั่งในขณะที่เจ้าหน้าที่ สตง.เข้าตรวจสอบสนามแห่งนี้อย่างละเอียด โดยเฉพาะการเก็บตัวอย่างลู่วิ่ง รวมทั้งเก็บตัวอย่างชั้นดินของสนามฟุตบอลที่เต็มไปด้วยดินลูกรัง หรือดินแดง จนเป็นที่มาของการเรียกสนามแห่งนี้แบบประชดประชันว่า “สนามนคร-ดินแดง” เป็นการล้อเลียนคุณภาพที่เสมือนเทียบเท่าสนามไทยญี่ปุ่นดินแดง