xs
xsm
sm
md
lg

ปล่อยตัว 2 แกนนำพูโล “อิสรภาพ” ใน “เปลวเพลิงสงคราม”..เมื่อรัฐยังเดินย่ำรอยเดิม?!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

หะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ (ซ้าย) กับ หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ (ขวา)
 
รายงาน...ศูนย์ข่าวภาคใต้
 
หลังถูกจำคุกคดีความมั่นคงมา 18 ปี ในที่สุดเมื่อ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา “นายดาโอ๊ะ มะเซ็ง” หรือ “หะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ” วัย 58 ปี อดีตแกนนำขบวนการพูโลใหม่ก็ได้รับอิสรภาพ เช่นเดียวกับ “นายสะมะแอ สะอะ” หรือ “หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ” วัย 63 ปี ได้ถูกปล่อยตัวไปก่อนหน้าเมื่อ 17 ก.ค. ซึ่งตรงกับวันฮารีรายอพอดี สร้างความดีใจให้แก่อดีตนักโทษชายในคดีความมั่นคงทั้ง 2 อย่างที่สุด
 
หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ, หะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ รวมถึง หะยีแม บือโต และ หะยีแม อับดุลเราะมาน ทั้ง 4 คนเป็นแกนนำขบวนการพูโล ได้ถูกเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงของมาเลเซียจับกุมส่งตัวมาให้ทางการไทยดำเนินคดีเมื่อปี 2540 หรือเมื่อ 18 ปีก่อน แต่ตอนนี้ได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสรภาพแล้ว 2 คน
 
การจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 4 คนในขณะนั้นเป็นไปตามความร่วมมือของรัฐบาลไทยกับมาเลเซีย ภายใต้กรอบความร่วมมือด้านการค้า 3 ประเทศที่เข้าร่วมเป็นโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) ซึ่งพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ถูกกำหนดเป็นพื้นที่การพัฒนาตามโครงการ
 
แต่เนื่องจากฝั่งไทยยังมีปัญหาการก่อความไม่สงบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลอบวางระเบิดทางรถไฟ วางเพลิงสถานที่ราชการ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการพัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับโครงการความร่วมมือด้านต่างๆ โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางสายหลักในการเชื่อมการคมนาคมระหว่างไทยกับมาเลเซีย
 
รัฐบาลไทยที่ในขณะนั้นมี นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้เสนอเงื่อนไขให้รัฐบาลมาเลเซียที่มี นายมหาเธร์ มูฮัมหมัด เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ดำเนินการอะไรบางอย่างเพื่อช่วยแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบภายในไทย ซึ่งในขณะนั้นมีองค์กรก่อการร้ายที่เป็นที่รู้จักในนาม องค์กรปลดปล่อยสหปัตตานี หรือ พูโล ที่อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุร้ายในพื้นที่
 
อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จึงตัดสินใจสลายกลุ่มขบวนการกู้ชาติปัตตานี จนเป็นที่มาของการจับกุมแกนนำขบวนการพูโลทั้ง 4 คน ซึ่งเหตุที่ทางการมาเลเซียกดดัน และจับกุมเฉพาะแกนนำพูโล เพราะเป็นกลุ่มที่มีบทบาทมากที่สุดในขณะนั้น
 
ทันที่ได้รับอิสรภาพไม่นาน ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้ออกประกาศแต่งตั้งให้ หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ เป็น ผู้ประสานงานด้านเศรษฐกิจและการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งคาดว่า หะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ ก็คงได้รับบทบาทไม่แตกต่างกัน นั่นคือ ช่วยภาครัฐแก้ไขปัญหาปากท้องของชาวบ้าน
 
แสดงให้เห็นว่า ศอ.บต.เป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเพื่อคืนอิสรภาพให้แก่อดีตแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดน โดยคาดหวังว่าอิสรภาพนั้นจะขยายไปสู่สันติภาพของจชายแดนใต้ได้ในอนาคต
 
แต่ขณะเดียวกันพบว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้นองค์กร หรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่มีบทบาทสำคัญ และเป็นจำเลยที่ฝ่ายความมั่นคงมองว่าอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุร้ายนับตั้งแต่เหตุการณ์ปล้นปืนเมื่อปี 2547 กลับไม่ใช่พูโลอีกต่อไป
 
อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชน และภาคประชาสังคมในชายแดนใต้ยอมรับว่า การปล่อยตัวอดีตแกนนำพูโลในครั้งนี้มีผลทางจิตวิทยา และส่งผลบวกต่อการแก้ปัญหาไฟใต้ระลอกใหม่ ซึ่งยืดเยื้อเรื้อรังมานับตั้งแต่ปี 2547 หรือจะกล่าวให้ชัดก็คือ นับตั้งแต่ที่ นายหะยีสะมะแอ และหะยีดาโอ๊ะ ถูกจับกุมนั่นเอง

“คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับภาครัฐแล้วว่าจะใช้ประโยชน์จากพวกเขาอย่างไร แต่ภาคประชาชนเชื่อว่า ด้วยองค์ความรู้ และประสบการณ์ รวมทั้งบทเรียนที่หะยีสะมะแอ และหะยีดาโอ๊ะ ประสบมานับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะมีประโยชน์ต่อการพัฒนา และการแก้ปัญหาในพื้นที่”
 
ความพยายามนำผู้ต้องหาทั้ง 4 คนสู่กระบวนการพักโทษ มีหลายฝ่ายมองว่า เป็นเรื่องดีในการที่จะสร้างบรรยากาศการ “พูดคุยสันติสุข” ที่กำลังเดินหน้า การกลับมาหาความร่วมมือของแกนนำเหล่านี้ก่อให้เกิดประโยชน์ของการเสริมสร้างสันติสุขในชายแดนใต้อย่างจริงจัง
 
แม้ว่าสันติภาพจะมิได้เกิดขึ้นทันทีหลังการพักโทษหะยีสะมะแอ และยะหีดาโอ๊ะ แต่ทว่ากระบวนการคืนอิสรภาพให้แก่อดีตแกนนำพูโลในครั้งนี้มีประเด็นที่รัฐสามารถนำไปสรุปเป็นบทเรียน ประกอบการดำเนินนโยบายสร้างสันติภาพที่ภาครัฐพยายามผลักดันอยู่ในขณะนี้ได้
 
นั่นคือ ต้องย้อนกลับไปทบทวน “หัวใจ” ที่ก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศ จนเป็นผลให้ทางการมาเลเซียยินยอมส่งตัวอดีตแกนนำขบวนการพูโลให้แก่ไทย
 
หัวใจหลักของความร่วมมือในครั้งนั้นคือ เพื่อขจัดอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจตามกรอบการพัฒนาโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ IMT-GT ซึ่งทางการมาเลเซียจับกุมแกนนำขบวนการพูโลทั้ง 4 คนในขณะนั้นก็เพราะคาดหวังว่า เพื่อให้ทางการไทยนำบุคคลเหล่านี้มาร่วมสร้างกระบวนการสันติสุข และให้เกิดความสงบสุขในชายแดนใต้อย่างแท้จริง
 
มากกว่าที่จะนำบุคคลเหล่านี้ “เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม” ซึ่งไม่ใช่เหตุผลหลักในขณะนั้น แต่ทางการไทยกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม และเพิ่งมาทำตามวัตถุประสงค์นั้นเมื่อไม่นานนี้เอง
 
ย้อนกลับไปเมื่อห้วงเวลานั้นอีกครั้ง สิ่งที่ตามมาหลังจากการดำเนินคดีต่ออดีตแกนนำขบวนการพูโล ก็คือ ได้เกิดการลอบยิงเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และลอบวางเพลิงในพื้นที่หนักยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือ มีกลุ่มขบวนการใหม่เกิดขึ้น จนสื่อมวลชนเรียกเหตุการณ์ความไม่สงบในยุคนั้นว่า...
 
“ยุคใบไม้ร่วง” เนื่องจากมีการลอบยิงเจ้าหน้าที่ตายทุกวันราวใบไม้ร่วง!
 
เป็นเหตุให้รัฐต้องยุบป้อมตำรวจในชายแดนใต้หลายแห่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียของเจ้าหน้าที่ และกำลังพล และกลุ่มก่อความไม่สงบที่เกิดขึ้นใหม่ในเวลานั้นก็ได้สร้างความไม่สงบให้แก่พื้นที่ต่อเนื่องมาจนถึงขณะนี้
 
การที่รัฐบาลปฏิเสธข้อเสนอของกลุ่ม “มารา ปัตตานี” ที่เรียกร้องไม่ให้รัฐดำเนินคดีต่อสมาชิกของขบวนการแบ่งแยกดินแดนต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการตอบโต้ด้วยการก่อวินาศกรรมคุกคามชีวิตผู้บริสุทธิ์ทันทีทันใดเช่นกันนั้น
 
ผู้สันทัดกรณีในพื้นที่ฟันธงว่า เป็นผลมาจากที่กลุ่มก่อความไม่สงบมองว่าความจริงใจของภาครัฐต่อกระบวนการสร้างสันติสุขในยุคสมัยนี้ อาจจะเป็นเพียงการ “แสร้งทำ” ซึ่งไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยกับเมื่อ 18 ปีก่อน
 
การปล่อยตัวจากเรือนจำด้วยมาตรการพักโทษ 2 แกนนำพูโล จึงแทบจะไม่มีผลอันใดเลยต่อสถานการณ์ความไม่สงบ ตราบใดที่ภาครัฐปฏิเสธข้อเสนอของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเป็นข้อเสนอที่เคยถูกปฏิเสธมาแล้วเมื่อ 18 ปีก่อนเช่นเดียวกันนั่นเอง
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น