ตรัง - เกษตรกรชาวตรังหันปลูก “มะม่วงหิมพานต์” เก็บยอดขายสร้างรายได้อย่างงาม หลังผลวิจัยระบุพบมีสารต้านอนุมูลอิสระชะลอความแก่ แถมยังป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย
วันนี้ (23 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายบรรจบ ตงอ่อน ผู้ใหญ่บ้าน ม.2 บ้านนาหมื่นศรี ต.นาหมื่นศรี อ.นาโยง จ.ตรัง กล่าวว่า มะม่วงหิมพานต์ ไม้ผลพื้นบ้านภาคใต้ที่มีชื่อเรียกอย่างมากมาย เช่น ยาร่วง ยาหยี กาหยู กาหยี หัวครก เล็ดท้ายล่อ เมล็ดท้ายล่อ ยะร่อง มะม่วงกุลา โดยเฉพาะในส่วนของยอดที่ชาวภาคใต้นิยมนำมากินเป็นเครื่องเคียง หรือผักเหนาะกันแทบทุกวัน ทั้งกับขนมจีน หรือข้าวแกง เนื่องจากปลูกได้ไม่ยากทุกพื้นที่ แม้แต่ในท้องไร่ปลายนาก็มีต้นออกมาใหญ่โตสมบูรณ์ ซึ่งไม่ต่างไปจากพื้นที่ริมชายหาด หรือเกาะแก่งต่างๆ เลย
ขณะเดียวกัน จากกระแสของการวิจัยที่ระบุว่า ยอดมะม่วงหิมพานต์มีคุณสมบัติเป็นสมุนไพรไทยชนิดหนึ่ง เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารชะลอความแก่มากกว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จากต่างประเทศหลายเท่า อีกทั้งหากกินเป็นประจำก็ยังจะสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ด้วยนั้น ยิ่งทำให้ผู้คนเกิดความตื่นตัวในการนำยอดมากินเป็นเครื่องเคียง หรือผักเหนาะมากขึ้น ทำให้เกษตรกรหลายรายในพื้นที่ ต.นาหมื่นศรี นำพื้นที่ว่างมาปลูกมะม่วงหิมพานต์เพื่อเก็บยอดขาย สร้างรายได้ให้อย่างงดงามไม่แพ้การทำสวนอื่นๆ
ทั้งนี้ ยอดมะม่วงหิมพานต์ในท้องตลาดทั่วไปจะขายกันในราคามัดละ 5 บาท หรือกิโลกรัมละ 40 บาท โดยเกษตรกรจะเก็บกันในช่วงเย็นแบบวันเว้นวัน เพื่อส่งพ่อค้าแม่ค้าที่มานำไปขายต่อแบบมีเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งพื้นที่ริมทาง หรือแค่เพียง 1 งาน ก็สามารถปลูกมะม่วงหิมพานต์ได้จำนวนนับร้อยต้น ส่วนการดูแลบำรุงรักษาก็ทำได้ง่าย แค่ใส่มูลสัตว์ปีละ 2 ครั้ง และดายหญ้ารอบๆ ต้นไม่ให้รก ตลอดจนตัดแต่งต้นให้สูงไม่เกิน 1.5 เมตร ก็จะทำให้มียอดออกมาเก็บขายได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
น.พ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ อดีต ส.ส.ตรัง กล่าวว่า มีผลจากการวิจัยของสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ยอดมะม่วงหิมพานต์มีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารชะลอความแก่มากกว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จากต่างประเทศหลายเท่า ซึ่งหากกินเป็นประจำจะสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ ประกอบกับมะม่วงหิมพานต์เป็นไม้ผลพื้นบ้านของภาคใต้ที่ปลูก หรือขึ้นเองได้ง่ายตามธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีใดๆ จึงเห็นควรใช้โอกาสนี้ในการพัฒนามาเป็นอาชีพด้วยการเก็บยอดขายเพื่อสร้างรายได้