ปัตตานี - เปิดใจหะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ อดีตแกนนำขบวนการพูโลใหม่ ได้รับการพักโทษหลังจากถูกคุมขังในเรือนจำกลางบางขวาง 18 ปี เผยสุดดีใจได้หวนกลับคืนสู่บ้านเกิด หวังเห็นสันติสุขเกิดขึ้นในพื้นที่ มั่นใจกระบวนการพูดคุยสันติภาพของรัฐบาลวางกรอบไว้แน่นน่าจะบรรลุผล มารดาเผยดีใจได้พบหน้าลูกชายอีกครั้ง
วันนี้ (21 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายดาโอ๊ะ มะเซ็ง หรือหะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ วัย 58 ปี อดีตแกนนำขบวนการพูโลใหม่ ได้เปิดเผยความในใจหลังจากได้รับอิสรภาพจากการพักโทษ หลังจากที่ต้องโทษจำคุกนาน 18 ปี เมื่อ นายดาโอ๊ะ มะเซ็ง ออกจากเรือนจำกลางจังหวัดปัตตานี ญาติได้นำรถมารับกลับบ้านเกิดที่บ้านเลขที่ 63 ม.1 ต.ท่าน้ำ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี โดยมี นางมีเนาะ มะเซ็ง ผู้เป็นแม่ รวมทั้งญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านให้การต้อนรับ โดยทางครอบครัวได้เชือดแพะ 2 ตัว ทำข้าวหมก จัดเลี้ยงการกลับมาของนายดาโอ๊ะ และแขกที่มาเยี่ยมเยือนตลอดทั้งวัน โดยจัดขึ้นที่บ้านของน้องชายนายดาโอ๊ะ
นายดาโอ๊ะ กล่าวว่า 38 ปี ที่ต้องจากบ้านเกิด วันนี้เป็นอีกวันที่มีความสุขมากที่สุข เพราะได้หวนกลับบ้านเกิดอีกครั้ง หลังจากไปเรียนต่อที่นครมักกะห์ 5 ปี จากนั้นไปเรียนที่ซีเรีย คณะนิเทศศาสตร์ สาขาประชาสัมพันธ์ จนจบปริญญาตรี 4 ปี พอเรียนจบได้กลับมาอยู่บ้านที่ท่าน้ำได้แค่ 5 เดือน หวังจะมาอยู่บ้านกับแม่ และพัฒนาพื้นที่ แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่กล่าวหาว่าตัวเองเป็นคนปลุกระดมชาวบ้านเพื่อทำการแบ่งแยกดินแดน ก็เลยต้องลี้ภัยเข้าไปหลบซ่อนตัวที่มาเลเซีย จนกระทั่งถูกทางการมาเลเซียจับกุมที่มาเลเซีย และส่งตัวมาดำเนินคดีฝั่งไทย พร้อมพวกอีก 3 คน ประกอบด้วย นายสะมาแอ ท่าน้ำ นายหะยีแม บือโต และนายหะยีแม อับดุลเราะมาน โดยเจ้าหน้าที่ไทยจึงได้มารับตัวที่บริเวณชายแดนปาร์ดังเบซา อ.สะเดา จ.สงขลา นำตัวไปสอบสวนที่บางเขน ก่อนนำไปฝากขังที่เรือนจำกลางพิเศษบางขวาง เพื่อนำผู้ต้องหาทั้ง 4 นาย สู่กระบวนการยุติธรรมของไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระบวนการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ในขณะนั้นเป็นไปตามความร่วมมือของรัฐบาล (ไทย-มาเลเซีย) ในการร่วมมือด้านการค้าร่วมกันระหว่างรัฐบาลทั้ง 3 ประเทศ ภายใต้โครงการสามเหลี่ยมเศรษฐ์กิจ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย (IMT-GT) พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถูกกำหนดเป็นพื้นที่การลงทุนตามโครงการดังกล่าวในส่วนของไทย
แต่เนื่องจากฝั่งไทยยังคงมีปัญหาความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง มีการลอบวางระเบิดทางรถไฟ การวางเพลิงสถานที่ราชการเป็นต้น ซึ่งเป็นปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับโครงการการร่วมมือดังกล่าว โดยเฉพาะเส้นทางหลักในการเชื่อมทางคมนาคมของทั้งสองประเทศ (ไทย-มาเลเซีย) ทางรัฐบาลไทยที่มี นายชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศในขณะนั้น จึงได้เสนอเงื่อนไขให้ทางรัฐบาลมาเลเซีย ที่มี นายมหาเธร์ มูฮัมหมัด ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นดำเนินการอะไรบางอย่างเพื่อให้ปัญหาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หมดปัญหาการก่อความไม่สงบเหมือนที่แล้วมา
นายมหาเธร์ มูฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นับเป็นส่วนหนึ่งที่อยากให้เกิดการร่วมมือด้านการค้าร่วมกันภายใต้โครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ (IMT-GT) จึงได้ตัดสินใจในการสลายกลุ่มขบวนการกู้ชาติปัตตานี จึงเป็นที่มาของการจับกุมแกนนำขบวนการพูโลทั้ง 4 คน แล้วผลักดันให้ออกจากประเทศมาเลเซีย แล้วประสานเจ้าหน้าที่ฝั่งไทยให้มารับตัวที่ชายแดนดังกล่าว สาเหตุที่มีการจับกุมของทางการมาเลเซียเฉพาะแกนนำกลุ่มขบวนการกู้ชาติพูโล เพราะเป็นกลุ่มขบวนการที่มีบทบาทมากที่สุดในขณะนั้น
และเหตุผลที่ทางการมาเลเซียกดดันแกนนำขบวนการกู้ชาติพูโลทั้ง 4 คน เพื่อให้ทางการไทยนำบุคคลเหล่านี้มาสร้างกระบวนการสันติสุข และสงบสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแท้จริง มากกว่าที่จะนำบุคคลเหล่านี้มาสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะมันไม่ใช่เหตุผลหลัก สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นในพื้นที่ได้เกิดการลอบยิงเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ลอบวางเพลิงในพื้นที่หนักยิ่งขึ้น เกิดมีกลุ่มขบวนการใหม่เกิดขึ้น หรือเรียกว่ายุคใบไม้ร่วง เป็นเหตุให้ป้อมตำรวจในพื้นที่จังหวัดชายแดนต้องยุบตัวเป็นจำนวนมากเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียของเจ้าหน้าที่ และกำลังพล ความพยายามนำผู้ต้องหาทั้ง 4 คน สู่กระบวนการพักโทษมีหลายฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องดี ในการที่จะสร้างบรรยากาศการพูดคุยสันติสุขที่กำลังเดินหน้า การกลับมาหาความร่วมมือของแกนนำเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์ของการเสริมสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างจริงจัง
นายดาโอ๊ะ ได้เปิดเผยประสบการณ์ชีวิตที่หลบหนีการจับกุม ว่า ต้องใช้ชีวิตอยู่ในป่าตั้งแต่อายุ 18 ปี แต่ยอมรับว่าการใช้ชีวิตในเรือนจำ 18 ปี ไม่รู้จะอธิบายเพราะมันทำให้เราหมดความคิด ไม่รู้จะคิดไปทำไม เพราะคิดได้แต่มันกลับทำอะไรไม่ได้ นี่และเป็นเรื่องที่เจ็บปวดใจมาก เพราะในระหว่างที่ใช้ชีวิตในเรือนจำมีสิ่งที่อยากทำมากที่สุดคือ การเข้ามาช่วยเหลือประชาชน เพราะสงสารประชาชนที่ต้องได้รับความเดือดร้อนจากเหตุความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ แต่วันนี้จะขอไม่พูดอะไรก่อน ขอเวลาทบทวนชีวิตหลังจากนี้
“ขอเป็นประชาชนปกติ พร้อมกับช่วยแก้ปัญหาของพี่น้องประชาชนตามที่เคยคาดหวังเมื่อตอนสมัยอยู่ในเรือนจำ มีความเจ็บปวดมาตลอดเมื่อทราบข่าวว่า พี่น้องในพื้นที่มีความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ความไม่สงบ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่สามารถพูดอะไรได้นอกจากขอเวลา ตั้งสติ และคิดหาจุดเริ่มต้นในการช่วยแก้ปัญหา สำหรับเรื่องการพูดคุยสันติสุขผมเห็นด้วย และเชื่อว่าทางคณะพูดคุยชุดนี้มีการวางกรอบไว้แน่นอย่างดีแล้ว”
นางมีเนาะ มะเซ็ง อายุ 85 ปี มารดาของนายดาโอ๊ะ มะเซ็ง กล่าวว่า ดาโอ๊ะ โทร.มาหาบอกว่าจะได้ออกจากเรือนจำแล้ว ก็ดีใจ มีความหวัง แต่ก็แอบเผื่อใจผิดหวังนิดๆ เพราะตลอดที่ผ่านมา ก็ได้รับข่าวว่าจะปล่อยตัว แต่สุดท้ายต้องรอเก้อทุกครั้ง พอมาถึง 10 นาฬิกาวันนี้ (20 ก.ย.) ขณะนั่งอยู่บนบ้านได้ยินเสียงรถยนต์หลายคันจอด แล้วเขาเดินขึ้นมากอด
“พอเข้ากอดกันเราต่างคนต่างร้องไห้ ไม่มีคำพูดใดๆ ร้องไห้เพราะดีใจ ไม่ได้เจอกัน กอดกันแบบนี้ นาน 30 กว่าปีแล้ว และเขาก็ยังไปอยู่ในคุกอีก 18 ปี นานมาก เมื่อเจอครั้งแรกต่างดีใจมาก มีแต่น้ำตา สักพักเขาก็พูดว่า หิวข้าว ขอกินข้าว ก็พาเขาไปกินข้าว ต้อนรับเขาด้วยข้าวหมกแพะ แม่ได้เชือดแพะ ตามที่ได้บนไว้ว่าถ้าเขาออกมาได้จริงๆ ขอเชือดแพะให้เขากิน และแม่ก็ได้ทำจริงๆ ถือโอกาสวันแรกที่เขาออกมาแล้วเลี้ยงเขาเป็นอาหารมื้อแรกให้เขาได้กิน”
“ตอนที่เขามาขอไปเรียนที่นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ตอนที่อยู่ที่นั่นเขาเรียนด้วย ทำงานรับจ้างเย็บเสื้อด้วย แล้วไปเรียนที่ซีเรียจนจบ พอกลับมาบ้านได้ไม่นาน เขาก็บอกว่าจะไปกรีดยางที่มาเลเซีย และต่อมา ก็ทราบข่าวว่าถูกจับอยู่ที่กรุงเทพฯ ช่วงที่ย้ายมาอยู่ปัตตานี ก็ได้ไปเยี่ยมสองสามครั้ง ไม่คิดเลยว่าเขาจะสามารถพ้นโทษได้ เมื่อปีที่แล้วหกล้มต้องผ่าตัดสมอง คิดอยู่ในใจว่าจะไม่ทันเจอแล้ว โชคดีที่ตำรวจเขาพาดาโอ๊ะ ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลด้วย แม้จะรู้สึกตัวแบบเบลอๆ ตอนที่เขาไปเยี่ยมแต่ก็รู้สึกดีใจ หลังออกจากโรงพยาบาลมาตัวเองป่วยมาตลอด คิดในใจทุกวันว่าไม่มีโอกาสแล้วที่จะเจอกัน แต่วันนี้เขาออกมาแล้ว ถึงจะตาย ก็ตายตาหลับแล้ว” นางมีเนาะ กล่าว
