กระบี่ - หนึ่งใน 5 นักศึกษาไทยที่ถูกจับกุมตัวในปากีสถาน เดินทางกลับถึงบ้านเกิดแล้วที่ จ.กระบี่ ท่ามกลางความดีใจของญาติพี่น้อง เจ้าตัวเผยระหว่างถูกควบคุมตัวได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
จากกรณีที่ นายฟารุค สูทอก อายุ 19 ปี บ้านเลขที่ 45/3 ม.1. ต.ห้วยน้ำขาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่ นักศึกษาไทยที่ถูกควบคุมตัวที่สนามบินลาฮอร์ ที่ประเทศปากีสถาน พร้อมเพื่อนชาวไทยอีก 4 คน เมื่อค่ำวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากถูกตรวจพบอาวุธปืนพร้อมกระสุนก่อนขึ้นเครื่องบิน เที่ยวบินที่ ทีจี 346 เส้นทางลาฮอร์-กรุงเทพฯ กำหนดเวลาเดินทาง 23.40 น.ตามเวลาท้องถิ่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้การช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (25 มิ.ย.) นายฟารุค ได้เดินทางกลับถึงบ้านเกิดที่บ้านเลขที่ 45/3 ม.1. ต.ห้วยน้ำขาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่ ท่ามกลางความดีใจของพ่อแม่ และบรรดาญาติๆ โดยทันทีที่นายฟารุค ถึงบ้านมีญาติพี่น้องที่ทราบข่าวต่างมารออยู่ที่บ้านจำนวนมาก โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลจังหวัดกระบี่ เข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจ และสอบถามข้อมูลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการติดต่อประสานงานหน่วยงานต่างๆ ในระดับจังหวัด
โดยนายฟารุค มีสีหน้ายิ้มแย้ม และทักทายจับมือกับทุกคน พร้อมกล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้กลับมาบ้าน และขอบคุณกระทรวงต่างประเทศ และผู้เกี่ยวข้องที่คอยให้การช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกจนกระทั่งได้เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย สำหรับเหตุการณ์ในวันที่ถูกจับกุมนั้นตนไม่ได้รู้เห็นแต่อย่างใด และไม่รู้ด้วยว่ามีอาวุธปืนในสัมภาระของเพื่อนที่เดินทางมาด้วยกัน
ซึ่งตนก็ไม่ได้รู้จัก หรือสนิทกันมาก่อนแม้จะอยู่โรงเรียนเดียวกัน และจะไม่ขอพูดถึงเรื่องนี้อีก ทั้งนี้ระหว่างที่ถูกควบคุมตัวนั้นทางเจ้าหน้าที่ปากีสถานก็ดูแลอย่างดี ช่วงเดือนรอมฎอนก็สามารถถือศีลอดได้ตามปกติ ซึ่งหลังจากนี้ ตนก็ต้องทำธุระต่างๆ ที่ค้างคาให้เสร็จ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับไปเรียนต่อที่โรงเรียนเดิมอีกหรือไม่ เพราะคดีก็ยังไม่เสร็จสิ้น
ด้านนางอัมพร แม่ของนายฟารุค กล่าวว่า รู้สึกดีใจมาก ต้องขอขอบคุณรัฐบาล และกระทรวงต่างประเทศ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดกระบี่ ที่ช่วยเหลือแนะนำประสานงานจนกระทั่งลูกชายกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย ซึ่งหลังจากนี้ ก็จะจัดการเรื่องผ่อนผันการเกณฑ์ทหารก่อน ส่วนจะให้กลับไปเรียนต่อหรือไม่นั้นคงต้องแล้วแต่ลูกชาย แต่อยากให้พักอยู่ที่บ้านสักระยะ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตนกังวลตอนนี้คือ กลัวลูกชายจะเสียประวัติ หรือเสียสิทธิต่างๆ หรือไม่ เช่น การที่จะไปเรียนที่โรงเรียนอื่นในประเทศปากีสถาน หรือใกล้เคียง อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวช่วยเหลือเพราะมั่นใจว่าลูกชายบริสุทธิ์
จากกรณีที่ นายฟารุค สูทอก อายุ 19 ปี บ้านเลขที่ 45/3 ม.1. ต.ห้วยน้ำขาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่ นักศึกษาไทยที่ถูกควบคุมตัวที่สนามบินลาฮอร์ ที่ประเทศปากีสถาน พร้อมเพื่อนชาวไทยอีก 4 คน เมื่อค่ำวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากถูกตรวจพบอาวุธปืนพร้อมกระสุนก่อนขึ้นเครื่องบิน เที่ยวบินที่ ทีจี 346 เส้นทางลาฮอร์-กรุงเทพฯ กำหนดเวลาเดินทาง 23.40 น.ตามเวลาท้องถิ่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้การช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (25 มิ.ย.) นายฟารุค ได้เดินทางกลับถึงบ้านเกิดที่บ้านเลขที่ 45/3 ม.1. ต.ห้วยน้ำขาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่ ท่ามกลางความดีใจของพ่อแม่ และบรรดาญาติๆ โดยทันทีที่นายฟารุค ถึงบ้านมีญาติพี่น้องที่ทราบข่าวต่างมารออยู่ที่บ้านจำนวนมาก โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลจังหวัดกระบี่ เข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจ และสอบถามข้อมูลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการติดต่อประสานงานหน่วยงานต่างๆ ในระดับจังหวัด
โดยนายฟารุค มีสีหน้ายิ้มแย้ม และทักทายจับมือกับทุกคน พร้อมกล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้กลับมาบ้าน และขอบคุณกระทรวงต่างประเทศ และผู้เกี่ยวข้องที่คอยให้การช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกจนกระทั่งได้เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย สำหรับเหตุการณ์ในวันที่ถูกจับกุมนั้นตนไม่ได้รู้เห็นแต่อย่างใด และไม่รู้ด้วยว่ามีอาวุธปืนในสัมภาระของเพื่อนที่เดินทางมาด้วยกัน
ซึ่งตนก็ไม่ได้รู้จัก หรือสนิทกันมาก่อนแม้จะอยู่โรงเรียนเดียวกัน และจะไม่ขอพูดถึงเรื่องนี้อีก ทั้งนี้ระหว่างที่ถูกควบคุมตัวนั้นทางเจ้าหน้าที่ปากีสถานก็ดูแลอย่างดี ช่วงเดือนรอมฎอนก็สามารถถือศีลอดได้ตามปกติ ซึ่งหลังจากนี้ ตนก็ต้องทำธุระต่างๆ ที่ค้างคาให้เสร็จ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับไปเรียนต่อที่โรงเรียนเดิมอีกหรือไม่ เพราะคดีก็ยังไม่เสร็จสิ้น
ด้านนางอัมพร แม่ของนายฟารุค กล่าวว่า รู้สึกดีใจมาก ต้องขอขอบคุณรัฐบาล และกระทรวงต่างประเทศ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดกระบี่ ที่ช่วยเหลือแนะนำประสานงานจนกระทั่งลูกชายกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย ซึ่งหลังจากนี้ ก็จะจัดการเรื่องผ่อนผันการเกณฑ์ทหารก่อน ส่วนจะให้กลับไปเรียนต่อหรือไม่นั้นคงต้องแล้วแต่ลูกชาย แต่อยากให้พักอยู่ที่บ้านสักระยะ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตนกังวลตอนนี้คือ กลัวลูกชายจะเสียประวัติ หรือเสียสิทธิต่างๆ หรือไม่ เช่น การที่จะไปเรียนที่โรงเรียนอื่นในประเทศปากีสถาน หรือใกล้เคียง อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวช่วยเหลือเพราะมั่นใจว่าลูกชายบริสุทธิ์